วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ผลงาน วิชาHQ104 จิตวิทยาการบริการและพฤติกรรมการท่องเที่ยว


เกาหลีใต้
สาธารณรัฐเกาหลี (อังกฤษ: Republic of Korea; ฮันกึล: 대한민국; ฮันจา: 大韓民國) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า เกาหลีใต้ (อังกฤษ: South Korea) เป็นประเทศในเอเชียตะวันออก มีเมืองหลวงโซล (Seoul)  มีพื้นที่ครอบคลุมส่วนใต้ของคาบสมุทรเกาหลี พรมแดนทางเหนือติดกับประเทศเกาหลีเหนือ มีประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้โดยมีทะเลญี่ปุ่นและช่องแคบเกาหลีกั้นไว้ ในภาษาเกาหลีอ่านชื่อประเทศว่า แทฮันมินกุก (อักษรฮันกึล: 대한민국; อักษรฮันจา: 大韓民國) โดยเรียกสั้น ๆ ว่า ฮันกุก (한국) ที่หมายถึงคนชาวฮั่นหรือคนเกาหลี และบางครั้งจะใช้ชื่อว่า นัมฮัน (남한) ที่หมายถึง ชาวฮั่นทางใต้ ส่วนชาวเกาหลีเหนือจะเรียกเกาหลีใต้ว่า นัมโชซ็อน (남조선) ที่หมายถึง โชซ็อนใต้
ประวัติศาสตร์เกาหลี
คาบสมุทรเกาหลีเป็นดินแดนที่มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน เริ่มแต่เป็นดินแดนของผู้คนหลากเผ่าพันธุ์ จนกระทั่งรวมตัวขึ้นเป็นอาณาจักรเล็ก ๆ ต่อมาถูกจีนยึดครอง เมื่อได้เอกราชจากจีน คาบสมุทรเกาหลีประกอบด้วยสามอาณาจักสำคัญก่อนจะรวมตัวกันเป็นอาณาจักรเดียวปกครองด้วยราชวงศ์ 2 ราชวงศ์ จนถูกญี่ปุ่นยึดครองเป็นอาณานิคมจนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ตามมาด้วยสงครามเกาหลีที่ทำให้ต้องแบ่งเป็น 2 ประเทศในปัจจุบันคือเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ มีความพยายามที่จะรวมประเทศทั้งสองแต่ยังไม่สำเร็จ
ยุคเผ่า  ในยุคแรกดินแดนบนคาบสมุทรเกาหลีประกอบด้วยผู้คนหลายเผ่าพันธุ์ เผ่าแรกที่ปรากฏคือเผ่าโชซ็อนโบราณ ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางภาคเหนือ เรืองอำนาจในช่วงพ.ศ. 143243 ส่วนเผ่าอื่นได้แก่เผ่าพูยอ อยู่บริเวณปากแม่น้ำซุงคารีทางแมนจูเรียเหนือ เผ่าโคกูรยออยู่ระหว่างแม่น้ำพมาก และแม่น้ำอัมนก เผ่าอกจออยู่บริเวณมณฑลฮัมกย็อง เผ่าทงเยอยู่บริเวณมณฑลคังว็อน และเผ่าสามฮั่นคือ มาฮั่น ชินฮั่น และพยอนฮั่น ที่อยู่บริเวณแม่น้ำฮั่นและแม่น้ำนักดง ทางภาคใต้ของคาบสมุทรเกาหลี  พระมหากษัตริย์ในตำนาน  ตำนานที่เป็นที่แพร่หลายในประเทศเกาหลีเล่าถึงกำเนิดของชนชาติตนว่า เจ้าชายฮวางวุง โอรสของเทพสูงสุดบนสวรรค์ลงมาสร้างเมืองที่ภูเขาแทแบ็ก ได้แต่งงานกับหญิงที่มีกำเนิดจากหมี มีโอรสชื่อตันกุน ต่อมาเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรโชซ็อนโบราณ เมื่อ 1790 ปีก่อนพุทธศักราช  ดินแดนคาบสมุทรเกาหลีตกเป็นเมืองขึ้นจีนเมื่อ พ.ศ. 434 เมื่อจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้หรือกวนอู่ตี้แห่งราชวงศ์ฮั่นยกทัพเข้ายึดครองดินแดนของอาณาจักรโชซ็อนโบราณ และแบ่งเกาหลีเป็น 4 มณฑล คือ อาณาจักรนังนัง ชินบอน อิมดุน และฮย็อนโท อย่างไรก็ตาม จีนปกครองมณฑลนังนังอย่างจริงจังเพียงมณฑลเดียว มณฑลอื่น ๆ จึงค่อย ๆ แยกตัวเป็นเอกราช จน พ.ศ. 856 ชนเผ่าโคกูรยอเข้ายึดครองมณฑลนังนัง ขับไล่จีนออกไปได้สำเร็จ การตกเป็นเมืองขึ้นของจีนทำให้เกาหลีได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากจีนมาก เช่นตัวอักษรและศาสนา (พุทธและขงจื๊อ)
               

ยุคสามก๊ก  เมื่อเป็นเอกราชจากจีน ดินแดนเกาหลีในขณะนั้นแบ่งเป็น 3 อาณาจักรด้วยกันคือ
1.อาณาจักรโคกูรยอ ทางภาคเหนือ เผ่าโคกูรยอเริ่มเข้มแข็งมากขึ้นเมื่อราชวงศ์ฮั่นของจีนล่มสลาย และสามารถขยายอำนาจเข้ายึดครองมณฑลนังนังจากจีนได้เมื่อ พ.ศ. 856
2.อาณาจักรแพ็กเจ ชนเผ่าแพ็กเจซึ่งเป็นเผ่าย่อยของเผ่าพูยอที่อพยพลงใต้ เข้ายึดครองอาณาจักรอื่นรวมทั้งอาณาจักรเดิมของเผ่าฮั่น ตั้งเป็นอาณาจักรเมื่อ พ.ศ. 777
3.อาณาจักรชิลลา อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของคาบสมุทรเกาหลี พัฒนาขึ้นจากเผ่าซาโร แต่อาณาจักรนี้ไม่เข้มแข็งมากนักในช่วงแรก ดำเนินนโยบายเป็นมิตรกับโคกูรยอตลอดจนกระทั่งหลังสงครามระหว่างโคกูรยอกับแพ็กเจ อาณาจักรชิลลาจึงเข้มแข็งขึ้นเป็นลำดับ จนสามารถยึดครองลุ่มแม่น้ำฮั่นและลุ่มแม่น้ำนักดงจากแพ็กเจได้
ยุคอาณาจักรเอกภาพ "อาณาจักรชินลา"  เมื่ออาณาจักรชินลาเข้มแข็งขึ้น อาณาจักรแพ็กเจจึงหันไปผูกมิตรกับอาณาจักรโคกูรยอ ส่วนอาณาจักรชิลลาหันไปผูกมิตรกับราชวงศ์สุยและราชวงศ์ถังของจีน กองกำลังผสมระหว่างจีนกับชิลลายึดครองอาณาจักรแพ็กเจได้เมื่อ พ.ศ. 1203 และยึดครองอาณาจักรโคกูรยอได้ใน พ.ศ. 1211 โดยจีนเข้ามาปกครองโคกูรยอในช่วงแรก ต่อมาอาณาจักรชิลลากับราชวงศ์ถังเกิดขัดแย้งกัน ชิลลาจึงเข้ายึดโคกูรยอจากจีนและเข้าปกครองคาบสมุทรเกาหลีอย่างเด็ดขาดเมื่อ พ.ศ. 1278  อาณาจักรชิลลาเจริญสูงสุดในยุคกษัตริย์คยองตอก หลังจากนั้นได้เสื่อมลงโดยสาเหตุหลักมาจากความขัดแย้งในหมู่เชื้อพระวงศ์และเกิดการปฏิวัติบ่อยครั้ง กลุ่มชาวนาและกลุ่มอำนาจท้องถิ่นที่รู้สึกว่าถูกกดขี่ได้รวมกำลังกันต่อต้านอำนาจรัฐ วังกอน ผู้นำกลุ่มต่อต้านคนหนึ่ง เข้ายึดอำนาจและสถาปนาราชวงศ์โครยอขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1478
                ยุคอาณาจักรเหนือใต้  เมื่ออาณาจักรโคกูรยอและอาณาจักรแพ็กเจถูกอาณาจักรชิลลาตีจนแตกพ่ายไปนั้น มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งรวบรวมชาวบ้านที่เป็นชาวโคกูรยอที่ถูกทัพชิลลาโจมตีแล้วอพยพขึ้นเหนือ แล้วก่อตั้งอาณาจักรใหม่มีชื่อว่า "อาณาจักรพัลแฮ" แล้วทางใต้ก็มีอาณาจักรชิลลาที่รวมแผ่นดินของอาณาจักรโคกูรยอ อาณาจักรแพ็กเจ และอาณาจักรชิลลาเดิมเข้าด้วยกันแล้วเรียกว่า "อาณาจักรรวมชิลลา" ในยุคนี้จึงมีสองอาณาจักรที่อยู่ทางเหนือ คือ อาณาจักรพัลแฮที่สืบต่อจากอาณาจักรโคกูรยอเดิม และทางใต้มีอาณาจักรรวมชิลลาที่รวมอาณาจักรโคกูรยอเดิม อาณาจักรแพ็กเจเดิม และอาณาจักรชิลลาเดิมเข้าเป็นอาณาจักรเดียว จึงเรียกยุคนี้ว่า "ยุคอาณาจักรเหนือใต้"
                ยุคสามอาณาจักรหลัง  หลังจากอาณาจักรพัลแฮถูกราชวงศ์เหลียวตีจนแตกนั้นประชาชนพากันอพยพลงใต้มาบริเวณอาณาจักรโคกูรยอเดิม แล้วเชื้อพระวงศ์ของอาณาจักรพัลแฮ ก็สถาปนาอาณาจักรใหม่บริเวณอาณาจักรโคกูรยอเดิม แล้วให้ชื่อว่า "อาณาจักรโคกูรยอใหม่" แล้วสถาปนาตนเองป็นกษัตริย์ พระนามว่า พระเจ้ากุงเย ส่วนชาวแพ็กเจที่อยู่ในอาณาจักรรวมชิลลาก็ได้ก่อกบฏต่ออาณาจักร มีหัวหน้าคือ คยอน ฮวอน แล้วไปตั้งถิ่นฐานที่บริเวณอาณาจักรแพ็กเจเดิม แล้วให้ชื่อว่า "อาณาจักรแพ็กเจใหม่" แล้วสถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์พระนามว่า พระเจ้าคยอน ฮวอน แล้วทำการก่อกบฏต่ออาณาจักรรวมชิลลา ทำให้ชิลลาเกิดความระส่ำระส่าย จึงถือเป็นยุคสามอาณาจักรยุคหลัง
                ยุคอาณาจักรโครยอ  วังฮูมาสถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์แทโจแห่งราชวงศ์โครยอเมื่อ พ.ศ. 1486 อาณาจักรนี้เจริญสูงสุดในสมัยกษัตริย์มุนจง ยุคนี้เป็นยุคที่ส่งเสริมพระพุทธศาสนา มีการทำสงครามกับพวกญี่ปุ่นและมองโกล ถูกจีนควบคุมในสมัยราชวงศ์หยวน จนเมื่ออำนาจของราชวงศ์หยวนอ่อนแอลง อาณาจักรโครยอต้องพบกับปัญหาโจรสลัดญี่ปุ่นและการรุกรานของราชวงศ์หมิง ในที่สุดทำให้ฝ่ายทหารมีอำนาจมากขึ้นจนนำไปสู่การยึดอำนาจของนายพล อีซองกเย และสถาปนาราชวงศ์ใหม่ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1935
                ยุคราชวงศ์โชซ็อน  นายพล ลี ซองเกสถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์แทโจแห่งราชวงศ์โชซ็อน ในสมัยนี้ส่งเสริมลัทธิขงจื๊อให้เป็นลัทธิประจำชาติและเริ่มลดอิทธิพลของพุทธศาสนา สมัยกษัตริย์เซจงมหาราชทรงประดิษฐ์อักษรฮันกึล ขึ้นใช้แทนอักษรจีน  เกาหลีมีความขัดแย้งกับชาติตะวันตกโดยเฉพาะเรื่องศาสนาคริสต์ และความแตกแยกในหมู่ขุนนางทำให้ราชวงศ์นี้เสื่อมลง จนถูกญี่ปุ่นยึดครองและล้มล้างระบอบกษัตริย์ไปในที่สุด
                ยุคอาณานิคมของญี่ปุ่นและสงครามโลก  เมื่อ พ.ศ. 2453 ญี่ปุ่นได้ผนวกเกาหลีเป็นดินแดนของตนตามสนธิสัญญาการรวมญี่ปุ่น-เกาหลี ซึ่งสนธิสัญญานี้เป็นที่ยอมรับของญี่ปุ่นฝ่ายเดียว แต่ไม่เป็นที่ยอมรับในเกาหลี เพราะถือว่าไม่มีการลงนามของกษัตริย์เกาหลี เกาหลีถูกญี่ปุ่นปกครองจนกระทั่งญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้สงครามเมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488ในระหว่างการปกครองของญี่ปุ่น มีการสร้างระบบคมนาคมแบบตะวันตก แต่ส่วนใหญ่เพื่อประโยชน์ทางการค้าของญี่ปุ่นมากกว่าประโยชน์ของชาวเกาหลี ญี่ปุ่นล้มล้างราชวงศ์โชซ็อน ทำลายพระราชวัง ปรับปรุงระบบภาษี ให้ส่งข้าวจากเกาหลีไปญี่ปุ่น ทำให้เกิดความอดอยากในเกาหลี มีการใช้แรงงานทาสในการสร้างถนนและทำเหมืองแร่  หลังการสวรรคตของกษัตริย์โกจง (Gojong) เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2461 ด้วยยาพิษ ทำให้เกิดการเรียกร้องเอกราชทั่วประเทศ เมื่อ 1 มีนาคม พ.ศ. 2461 ผลจากการลุกฮือขึ้นเรียกร้องเอกราชทำให้ชาวเกาหลีราว 7,000 คนถูกฆ่าโดยทหารและตำรวจญี่ปุ่น ชาวคริสต์เกาหลีจำนวนมากถูกฆ่าหรือเผาในโบสถ์ระหว่างการเรียกร้องเอกราชมีการจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลของเกาหลีที่เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน หลังจากการเคลื่อนไหว 1 มีนาคม เพื่อต่อต้านการยึดครองของญี่ปุ่น การลุกฮือขึ้นต่อต้านญี่ปุ่นยังคงมีอยู่ต่อไป เช่น การลุกฮือของนักศึกษาทั่วประเทศเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2472 จนนำไปสู่การประกาศกฎอัยการศึกเมื่อ พ.ศ. 2474   หลังจากเกิดสงครามจีน-ญี่ปุ่นเมื่อ พ.ศ. 2480 ญี่ปุ่นพยายามลบล้างความเป็นชาติของเกาหลี การสอนประวัติศาสตร์และภาษาเกาหลีในโรงเรียนถูกห้าม การแสดงออกทางวัฒนธรรมที่เป็นเกาหลีถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ชาวเกาหลีถูกบังคับให้มีชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่น[1] สิ่งของมีค่าถุกนำออกจากเกาหลีไปยังญี่ปุ่น.[2] หนังสือพิมพ์ถูกห้ามตีพิมพ์ด้วยภาษาเกาหลี หนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จำนวนมากถูกเผาทำลาย 
ชาวเกาหลีจำนวนมากอพยพออกจากเกาหลีไปสู่แมนจูเรียและรัสเซีย ชาวเกาหลีในแมนจูเรียจัดตั้งขบวนการกู้เอกราชชื่อ "ทุงนิบกุน" (Dungnipgun) ขบวนการนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน ทำสงครามกองโจรกับกองทัพญี่ปุ่น กองทัพเหล่านี้ได้รวมตัวกันเป็นกองทัพปลดปล่อยเกาหลี เมื่อราว พ.ศ. 2483 เคลื่อนไหวในจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาวเกาหลีกว่าหมื่นคนเข้าร่วมในกองทัพปลดปล่อยประชาชนและกองทัพปฏิวัติแห่งชาติ  ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวเกาหลีถูกบังคับให้ร่วมมือกับญี่ปุ่น ชายชาวเกาหลีถูกเกณฑ์เข้าร่วมในกองทัพญี่ปุ่น[3] ผู้หญิงจากจีนและเกาหลีราว 200,000 คน ถูกส่งตัวไปเป็นนางบำเรอของทหารญี่ปุ่น
การแบ่งแยกประเทศ
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง แนวโน้มของการแบ่งประเทศเริ่มปรากฏขึ้นเมื่อ 8 กันยายน พ.ศ. 2488 เมื่อสหรัฐเข้าควบคุมภาคใต้ของคาบสมุทรเกาหลี และโซเวียตเข้าควบคุมภาคเหนือ โดยใช้เส้นขนาน(ละติจูด,เส้นรุ้ง)ที่ 38 องศาเป็นเส้นแบ่ง รัฐบาลชั่วคราวถูกยกเลิกเพราะสหรัฐเห็นว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ ในครั้งแรกการแบ่งแยกนี้เป็นการชั่วคราว และจะให้เอกราชแก่เกาหลีเมื่อสี่ชาติมหาอำนาจคือ สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต อังกฤษ และจีน จัดการปกครองในเกาหลีสำเร็จ
                ในการประชุมไคโรเมื่อ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2486 กำหนดให้เกาหลีเป็นชาติอิสระ และการประชุมล่าสุดที่ยัลตาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2488 ตกลงให้เกาหลีเป็นรัฐในอารักขาของชาติมหาอำนาจสี่ชาติ ต่อมา 9 สิงหาคม พ.ศ. 2488    สหภาพโซเวียตยกทัพจากไซบีเรียเข้าสู่เกาหลีโดยไม่มีการต่อต้าน ญี่ปุ่นยอมแพ้เมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2488 มีการประชุมที่มอสโกเพื่อตกลงเกี่ยวกับอนาคตของเกาหลี โดยกำหนดให้เป็นรัฐในอารักขา 5 ปี และรวมส่วนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของสหรัฐและโซเวียตเข้าด้วยกัน มีการประชุมกันอีกครั้งที่กรุงโซลแต่องค์การตั้งประเทศใหม่ยังไม่ลุล่วง เดือนกันยายน พ.ศ. 2490 สหรัฐส่งปัญหาเกาหลีเข้าสู่สหประชาชาติเพื่อให้เกาหลีเป็นรัฐเดียวที่มีเอกภาพ แต่ผลจากสงครามเย็นทำให้สหรัฐวางแผนคุ้มกันเกาหลีเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ ส่งผลให้เกิดการแยกประเทศเมื่อ พ.ศ. 2491 เกิดเป็นสองประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจและการปกครองต่างกัน สหประชาชาติยอมรับสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) เป็นตัวแทนเกาหลีในสหประชาชาติเพียงรัฐเดียวเมื่อ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2491 สงครามเกาหลีระเบิดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2493 เมื่อเกาหลีเหนือยกทัพข้ามเส้นขนานที่ 38 องศาบุกเข้าโจมตีเกาหลีใต้ เป็นการยุติความพยายามในขณะนั้นที่จะรวมประเทศทั้งสองอย่างสันติ สงครามดำเนินไปจนมีข้อตกลงหยุดยิงเมื่อ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2496
                ความพยายามรวมประเทศหลังสงคราม   เกาหลีใต้มีความพยายามที่จะรวมประเทศอย่างสันติตั้งแต่ พ.ศ. 2513 โดยเปิดการเจรจากับเกาหลีเหนืออย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการเจรจาระหว่างสภากาชาดฝ่ายใต้กับฝ่ายเหนือเพื่อให้ครอบครัวที่พลัดพรากระหว่างสงครามได้พบหน้ากัน มีการออกแถลงการณ์ระหว่างสองประเทศเมื่อ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 เพื่อยุติการกล่าวร้ายระหว่างกัน แต่การเจรจาเพื่อรวมประเทศไม่ราบรื่น ที่ประสบผลสำเร็จมีเพียงการอนุญาตให้ชาวเกาหลีทั้งสองประเทศข้ามเขตปลอดทหารไปมาหาสู่กันได้ในช่วง 20-23 กันยายน พ.ศ. 2528 และการเจรจาเกี่ยวกับกีฬาโอลิมปิก พ.ศ. 2531 ที่กรุงโซลเท่านั้น การเจรจาเรื่องอื่น ๆ หยุดชะงักลงหลัง พ.ศ. 2529 เนื่องจากเกาหลีเหนือไม่พอใจเกี่ยวกับการซ้อมรบระหว่างเกาหลีใต้กับสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นการขัดแย้งกับการรวมชาติ เกาหลีใต้พยายามประนีประนอมกับเกาหลีเหนือเพื่อการเจรจาจนมีการประชุมระดับผู้นำครั้งแรกเมื่อ 4 กันยายน พ.ศ. 2533 จากนั้นมีการประชุมต่อมาอีกหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม การรวมชาติเกาหลียังเป็นสิ่งที่ต้องรอคอยต่อไปจนกระทั่งปัจจุบัน
(แหล่งที่มา  http://th.wikipedia.org/wiki)



เวลา  เวลาในประเทศเกาหลีใต้ เร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง
ภาษา  ชาวเกาหลีใต้สื่อสารกันด้วยภาษาเดียวกัน คือ ภาษาเกาหลี ส่วนใหญ่เรียกภาษาของตนว่า ฮันกุกมัลหรือ ฮันกุกอบางครั้งอาจเรียกแบบภาษาชาวบ้านว่า อูรีมัลแปลว่า ภาษาของเรา โดยในกรุงโซลและเขตปริมณฑลจะใช้เป็นภาษากลาง ส่วนภาษาท้องถิ่นก็มีใช้กันตามภาคต่างๆ แต่ถึงกระนั้นชาวเกาหลีใต้ก็สามารถสื่อสารเข้าใจกันเป็นอย่างดี ยกเว้นภาษาท้องถิ่นของเกาะเชจู ซึ่งเข้าใจยากกว่าท้องถิ่นอื่นๆ  ภาษาเกาหลี มีตัวอักษรที่เรียกว่า ฮันกึลเป็นอักษรที่กษัตริย์เซจงทรงประดิษฐ์ขึ้น ประกอบไปด้วย พยัญชนะ 14 ตัว และสระ 10 ตัว ซึ่งสามารถผสมกันเป็นพยางค์และคำต่างๆได้มากมาย อักษรฮันกึลได้รับการยกย่องว่าเป็นตัวอักษรที่ประดิษฐ์ขึ้นตามหลักการทางวิทยาศาสตร์มากที่สุด เป็นอักษรที่สามารถเรียนรู้และเข้าใจได้ง่าย
ศาสนา  ประเทศเกาหลีใต้ไม่มีศาสนาประจำชาติ และประชาชนมีอิสระในการนับถือศาสนา ในปี ค.ศ. 2005 ประชากรเกาหลีใต้เกือบครึ่งหนึ่งเป็นอศาสนา ส่วนที่เหลือส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธหรือคริสต์ ต่อมาในปี ค.ศ. 2007 ได้มีการสำรวจสำมะโนประชากร พบว่าร้อยละ 29.2 นับถือศาสนาคริสต์ (ในจำนวนนี้เป็นโปรเตสแตนต์ร้อยละ 18.3 และคาทอลิกร้อยละ 10.9) รองลงมาคือร้อยละ 22.8 นับถือศาสนาพุทธ นอกจากนี้ยังศาสนิกของศาสนาอิสลาม ซึ่งเข้าสู่เกาหลีครั้งแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 7 รวมทั้งลัทธิเกิดใหม่อย่าง ลัทธิช็อนโด และลัทธิว็อนบุล ทั้งยังมีการปฏิบัติศาสนกิจในลัทธิเชมัน ลัทธิดั้งเดิมของเกาหลีก่อนรับศาสนาอื่น ซึ่งนับถือเทพเจ้าผู้สร้างคือ ฮวันอิน (คือ พระอินทร์ในพุทธศาสนา) ทั้งได้รับการนับถือในกลุ่มชาวคริสต์ทั้งคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ด้วย โบสถ์คาทอลิกจ็อนดง วัดแฮอินซาศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีศาสนิกมากที่สุดในเกาหลีใต้ มีศาสนิกชนราว 13.7 ล้านคน โดยประชากรราวสองในสามนิยมเข้าโบสถ์โปรเตสแตนต์ และประชากรร้อยละ 23 นิยมเข้าโบสถ์ของโรมันคาทอลิก อย่างไรก็ตามในช่วงปี ค.ศ. 1980 ศาสนิกชนเข้าโบสถ์โปรเตสแตนต์ลดลง เพราะการขยายตัวของนิกายโรมันคาทอลิก  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเกาหลีใต้ถือเป็นประเทศที่มีการส่งมิชชันนารีออกเผยแผ่ศาสนามากเป็นอันดับสองของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา
ศาสนาพุทธเข้ามามีบทบาทในเกาหลีตั้งแต่ปี ค.ศ. 372 จากการสำรวจสำมะโนประชากรในปี ค.ศ. 2005 มีศาสนิกชนราว 10.7 ล้านคน ปัจจุบันชาวพุทธส่วนใหญ่ในเกาหลีใต้ร้อยละ 90 นับถือนิกายโจ-กเย ซึ่งศาสนวัตถุของพุทธศาสนาจำนวนมากได้กลายเป็นสมบัติประจำชาติ ซึ่งตกทอดมาจากยุครัฐเหนือใต้ และยุคโครยอที่ศาสนาพุทธมีความเจริญจนถึงขีดสุด และภายหลังศาสนาพุทธได้อ่อนแอลงจากการปราบปรามของราชวงศ์โชซ็อนซึ่งนับถือลัทธิขงจื๊อ
ศาสนาอิสลามเคยเข้ามามีอิทธิพลในดินแดนเกาหลีตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 ในยุครัฐเหนือใต้ แต่ผู้สืบเชื้อสายได้หันไปนับถือศาสนาพุทธหรือเชมันแทน เนื่องจากเกาหลีขาดการติดต่อกับโลกอาหรับ  ปัจจุบันจากการเผยแผ่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีชาวมุสลิมสัญชาติเกาหลีใต้ราว 30,000-35,000 คน  ขณะที่อิสลามิกชนส่วนใหญ่ราว 100,000 คนในเกาหลีใต้เป็นแรงงานชาวต่างชาติ  อาทิ บังกลาเทศ และปากีสถาน
ในเกาหลีใต้มีการขัดแย้งทางศาสนาอยู่ ดังกรณีศาสนิกบางส่วนของศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ได้แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อศาสนาพุทธ มีเหตุการณ์วางเพลิงและการกระทำที่ป่าเถื่อนกับศาลเพียงตาของพุทธศาสนารวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ หลายสิบครั้ง รวมทั้งการทำลายวัดขนาดใหญ่หลายแห่งในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา โดยมีเนื้อความระบุว่าผู้กระทำผิดเป็นชาวโปรเตสแตนต์ และมีข้อความหลงเหลืออยู่ซึ่งประณามการบูชา "รูปเคารพ" ชาวเกาหลีใต้มีศาสนาที่ตนนับถือกันอย่างหลากหลาย กล่าวคือ นับถือศาสนาคริสต์ 26.3% (นิกายโปรแตสแตนท์ 19.7% และ นิกายโรมันคาทอลิก 6.6%) ศาสนาพุทธ 23.2% และศาสนาอื่นๆ 1.3% ส่วนกลุ่มที่ไม่นับถือศาสนาใดเลย 49.3%
การเมืองการปกครอง  สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชนให้เข้ามาเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร และประธานาธิบดี จะเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี โดยผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา

การแบ่งเขตการปกครอง  ประเทศเกาหลีใต้ ประกอบไปด้วย 9 จังหวัด (โด ) 6 เมืองใหญ่หรือมหานคร (ชี ) แต่รวมทั้งประเทศมีทั้งหมด 77 เมือง และ 88 มณฑลหรืออำเภอ (กุน) โดยได้มีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 8 จังหวัด อีก 1 จังหวัดปกครองตนเองแบบพิเศษ 6 มหานคร และ 1 นครพิเศษ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้


นครพิเศษ หรือ ทึกบยอลชี
หมายเลข 1 โซล หรือ ซออุลมหานคร (Metropolitan Cities) หรือ กวางยอกชี
หมายเลข 2 พูซาน
หมายเลข 3 แทกู
หมายเลข 4 อินชอน
หมายเลข 5 กวางจู
หมายเลข 6 แทจอน
หมายเลข 7 อุลซาน  จังหวัด (Provinces) หรือ โด
หมายเลข 8 คยองกี
หมายเลข 9 คังวอน
หมายเลข 10 คยองซังบุก
หมายเลข 11 คยองซังนัม
หมายเลข 12 ชอนลานัม
หมายเลข 13 ชอนลาบุก
หมายเลข 14 ชุงชองบุก
หมายเลข 15 ชุงชองนัม  จังหวัดปกครองตนเองพิเศษ หรือ  ทึกบยอลจาชิโด
หมายเลข 16 เชจู
สกุลเงิน  สกุลเงินของประเทศเกาหลีใต้ คือ วอน และตัวย่อตามมาตรฐาน สากล ISO 4217 คือ KRW (Korea won) เหรียญกษาปณ์แบ่งออกเป็น 10, 50, 100 และ 500 วอน ธนบัตรมี 1,000, 5,000 และ 10,000 วอน อัตราแลกเปลี่ยน อยู่ที่ประมาณ 1,200 วอน ต่อ 1 เหรียญสหรัฐ บัตรเครดิต เช่น วีซ่า อเมริกันเอ๊กซ์เพลส ไดเนอร์คลับ มาสเตอร์ และเจซีบี สามารถใช้ได้ตาม โรงแรมใหญ่ภัตตาคารใหญ่ ๆ และตามร้านค้าบางแห่ง
ศิลปะเกาหลี  ศิลปะเกาหลีมีลักษณะเด่นหลายประการที่ทำให้เกิดแบบของตัวเอง ศิลปะเกาหลียกย่องธรรมชาติ การใช้สีอ่อนและเรียบปรากฏอยู่เสมอในภาพเขียนและเครื่องปั้นแบบเกาหลี วัฒนธรรม งานหัตถธรรมพื้นบ้านคือศิลปะที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปี งานไม้และเครื่องเขินของเกาหลีเป็นที่รู้จักกันดี โดยเน้นการออกแบบที่เพื่อประโยชน์ใช้สอยและความเรียบง่าย สิ่งสะดุดตาในงานไม้เกาหลีคือศิลปะการประดับมุก งานหัตถกรรมโลหะทำด้วยทอง ทำด้วยสำริด ทางด้านพระพุทธศาสนามีการสร้างพระพุทธรูปสำริด ระฆังวัดที่หล่อด้วยสำริด เอกลักษณ์ของระฆังเกาหลีคือรูปร่างการออกแบบและเสียง ศิลปะเครื่องปั้นดินเผา เกาหลีเป็นประเทศที่เป็นที่ยอมรับในการพัฒนาศิลปะด้านนี้ และเครื่องปั้นดินเผาที่มีชื่อเสียงคือ ศิลาดล เป็นเครื่องเคลือบที่มีความสดใสฝีมือประณีตนิยม เคลือบด้วยสีขาวซึ่งพัฒนาให้สวยงามในยุคโกเรียว เพื่อการอนุรักษ์สิ่งดีงามตั้งแต่อตีด ทางการเกาหลีได้จัดตั้งโครงการสมบัติประจำชาติเกาหลีใต้ขึ้น

เครื่องแต่งกายประจำชาติของเกาหลี  ชาวเกาหลีมีชุดประจำชาติตั้งแต่สมัยโบราณ เรียกว่า ฮันบก (ฮันหมายถึงชาวเกาหลี บกหมายถึงชุด รวมกันหมายถึงชุดของชาวเกาหลี) ฮันบกทั้งของผู้หญิงและผู้ชายมีลักษณะหลวมๆ เพื่อความสะดวกสบายและคล่องแคล่ว ไม่ใช้กระดุมหรือขอแต่จะใช้ผ้าผูกไว้แทน ชุดของผู้ชายข้างล่างประกอบด้วย "ปันซือ" แต่สมัยใหม่เรียกว่า "แพนที" ซึ่งหมายถึงกางเกงใน ชั้นนอกสวม "บาจี" เป็นกางเกงขายาวหลวมๆรวบปลายขาไว้ด้วย "แทมิน" เป็นแถบผ้าใช้มัดขากางเกง "บันโซเม" เป็นเสื้อรัดรูปแขนสั้นไว้ข้างใน เสื้อนอกเรียกว่า "จอโกลี" เป็นเสื้อแขนยาวไม่มีปกไม่มีกระเป๋า ปัจจุบันชุดแต่งกายวัฒนธรรมเดิมจะใช้เฉพาะโอกาสพิเศษเท่านั้น แต่ตามถนนหนทางและรถไฟใต้ดินจะยังคงเห็นผู้คนสวมใส่กันอยู่บ้าง โดยเฉพาะผู้สูงอายุยังคงสวมใส่ชุดฮันบกอยู่
แหล่งข้อมูล http://www.2by4travel.com/home/Data-travel/korea/khxmul-prathes-keahliti

ลักษณะธงชาติ

ธงชาติสาธารณรัฐเกาหลี หรือ ธงชาติเกาหลีใต้ มีชื่อเรียกเฉพาะว่า แทกึกกี (เกาหลี: 태극기, ฮันจา: 太極旗, MC: Taegeukgi, MR: T'aegŭkki) มีลักษณะเป็นธงพื้นสีขาว กลางธงมีรูปวงกลม "แทกึก" สีแดง-น้ำเงิน ล้อมข้างด้วยขีดสามเส้นรูปต่างๆ ตามคัมภีร์อี้จิงของจีน 4 รูปตามแต่ละมุมของธง ธงนี้ออกแบบโดยปัก ยอง ฮโย (Bak Yeong-hyo) ราชทูตเกาหลีประจำประเทศญี่ปุ่น ซึ่งต้องการให้มีธงเพื่อแสดงความเป็นชาติให้ญี่ปุ่นซึ่งกำลังรุกรานเกาหลีในเวลานั้นได้เห็น พระเจ้าโกรูปวงกลมตรงกลางซึ่งมีชื่อเรียกว่า "แทกึก" นั้น เป็นสัญลักษณ์ของต้นกำเนิดสรรพสิ่งในจักรวาลตามลัทธิเต๋า กล่าวคือ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีของคู่กันเสมอทั้งด้านลบ (หยิน) และด้านบวก (หยาง) ในวงกลมนี้ หยินแทนด้วยสีน้ำเงิน หยางแทนด้วยสีแดง วงกลมแทกึกนี้ทั้งสองด้านถูกแบ่งอย่างเท่ากัน แสดงถึงความสมดุลและกลมกลืนประสานสอดคล้องอย่างสมบูรณ์ ทั้งแสดงถึงการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด  รูปขีดสามเส้นในธงมีที่มาจากสัญลักษณ์ 4 ใน 8 อย่างจากคัมภีร์อี้จิงของจีน (ภาษาจีนเรียกว่า "ข่วย") ซึ่งใช้เป็นสัญลักษณ์แทนปรัชญาของจักรวาล 4 อย่าง คือ ความกลมกลืน ความสมดุล ความสมมาตร และการหมุนเวียนจงแห่งราชวงศ์โชซ็อนได้มีพระบรมราชโองการประกาศใช้เป็นธงชาติเกาหลีเมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2426
แหล่งข้อมูล http://th.wikipedia.org/wiki

ตราแผ่นดินของสาธารณรัฐเกาหลี  ตราแผ่นดินของสาธารณรัฐเกาหลี (ฮันกึล: 대한민국의 국장; ฮันจา: 大韓民國 國章) ประกอบไปด้วยสัญลักษณ์ แทกึก ซึ่งปรากฏอยู่บนธงชาติเกาหลีใต้ ล้อมรอบไปด้วยกลีบดอกไม้ห้ากลีบและริบบิ้นที่มีถ้อยคำว่า "สาธารณรัฐเกาหลี" (แทฮัน มินกุก) ซึ่งเป็นชื่อประเทศอย่างเป็นทางการ ในอักษรฮันกึล แทกึกนั้นเป็นสัญลักษณ์ของความสงบสุขและความสามัคคี กลีบดอกไม้ทั้งห้ากลีบก็มีความหมายในแต่ละกลีบและยังมีความเกี่ยวกับกับดอกไม้ประจำชาติ (ชบา ไซริอาคัส หรือ ดอกมูกุงฮวา) ซึ่งตราแผ่นดินนี้ได้เริ่มใช้เมื่อปี พ.ศ. 2506
ตราประทับของประธานาธิบดีพร้อมนกโฟนิกซ์

ตราของนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีต้นพู่ระหงล้อมรอบไปด้วยดอกไม้ห้ากลีบ
ตราของรัฐสภา, (พร้อมด้วยอักษร ฮันจา คำว่า ชาติ ().
 ตราอาร์มของเกาหลีใต้
ผู้ใช้ตรา รัฐบาลเกาหลีใต้ เริ่มใช้ พ.ศ. 2506 โล่แทกกึก และ ดอกมูกุงฮวา ประคองข้าง               ริ้บบิ้นสีขาว
คำขวัญ   สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลี:대한민국) 
( แหล่งข้อมูล http://th.wikipedia.org/wiki)
แม่น้ำที่สำคัญ
               คลองช็องกเยช็อน (เกาหลี: 청계천) เป็นคลองโบราณในสมัยราชวงศ์โชซ็อน อายุกว่า 600 ปี ความยาวประมาณ 5.84 กิโลเมตร ไหลผ่านย่านใจกลางกรุงโซล[1] แต่ในช่วงค.ศ. 1957-ค.ศ. 1977 ได้มีการพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด ทำให้คลองถูกถมลงเป็นถนนและทางด่วน เกิดตึกสูงมากมาย คลองช็องกเยช็อนก็เริ่มเน่าเสียและตื้นเขิน เรียงไปด้วยชุมชนแออัด
กระทั่งปี ค.ศ. 2002 นายอี มย็อง-บักได้รับตำแหน่งเป็นผู้ว่าการกรุงโซล เขาได้เสนอโครงการฟื้นฟูคลองช็องกเยช็อน โดยมีพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนต่อต้านจำนวนมาก จนต้องมีการประชุมร่วมกันมากกว่า 4,300 ครั้ง[2] แต่โครงการก็เริ่มขึ้นได้ด้วยดีในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2003 โดยเริ่มทุบทางด่วน และรื้อถนนโดยรอบมากมาย จนแล้วเสร็จในปีค.ศ. 2005 มีพิธีเปิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ท่ามกลางประชาชนเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ใช้งบประมาณกว่า 380,000,000,000 วอน (3 แสน 8 หมื่นล้านวอน)หรือราว ๆ 1 หมื่นล้านบาท[3] พร้อมกับฟื้นฟูธรรมชาติสองฝั่งคลอง ตลิ่งถูกตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม และใช้วิธีขุดท่อผันน้ำจากแม่น้ำฮันเข้ามาที่ต้นคลอง แล้วไล่น้ำเสียออกทะเล มีการสร้างน้ำพุตลอดแนว เขื่อนชะลอความเร็วน้ำ ลานกิจกรรม ที่พักผ่อน และมีน้ำตกเป็นแนวกั้นน้ำฝน มีทางเดินเลียบคลอง และสะพานกว่า 22 แห่ง ซึ่งจัดให้ประชาชนร่วมออกแบบสะพานประกวด ทำให้สะพานทุกแห่งล้วนมีรูปแบบที่ไม่ซ้ำกัน และแสดงออกถึงความเป็นเกาหลี[4] ส่งผลให้พื้นที่โดยรอบมีราคาเพิ่มสูงขึ้น กลายเป็นแหล่งที่อยู่ของคนรวย สำนักงานบริษัทชั้นนำ และคลองช็องกเยช็อนแห่งนี้ยังได้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในกรุงโซล
แหล่งข้อมูลhttp://th.wikipedia.org/wiki/
โครงการบูรณะแม่น้ำสายหลักสี่สาย   (เกาหลี: 4대강 정비 사업) เป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับ แม่น้ำฮัน, แม่น้ำนักดง, แม่น้ำกึม และแม่น้ำยองซัน  ในประเทศเกาหลีใต้ เป็นโครงการที่อี มย็อง-บัก ซึ่งเป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้ในสมัยนั้นเป็นผู้นำ และได้รับการประกาศว่าเสร็จสิ้นในวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 2011 จุดมุ่งหมายของโครงการคือปรับปรุงการรักษาความปลอดภัยที่เกิดจากน้ำ, การควบคุมน้ำท่วมและผลกระทบทางระบบนิเวศ โครงการนี้ได้รับการประกาศเป็นส่วนหนึ่งของ "กรีนนิวดีล" และได้เปิดตัวนโยบายในเดือนมกราคม ค.ศ. 2009 และได้รวมไว้ในแผนระดับชาติของรัฐบาลห้าปีในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2009 รัฐบาลคาดว่าการลงทุนเต็มรูปแบบด้วยงบรวม 22.2 ล้านล้านวอน (ประมาณ 17.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)   ทั้งนี้ ทางรัฐบาลไทยยังได้ทำการศึกษาโครงการบูรณะแม่น้ำสายหลักสี่สายที่ประเทศเกาหลีใต้ เพื่อเป็นหนึ่งในแนวทางแก้ไขปัญหาอุทกภัยในประเทศไทย พ.ศ. 2554 ในระยะยาวด้วยเช่นกัน
แหล่งข้อมูล  http://th.wikipedia.org/wiki/
ช่องแคบเกาหลี (เกาหลี: 대한해협, ฮันจา: 大韓海峽, MC: Taehan Haehyŏp, MR: Daehan Haehyeop) คือช่องแคบระหว่าง ประเทศเกาหลีใต้ และประเทศญี่ปุ่น โดยเชื่อมต่อระหว่างทะเลจีนตะวันออกกับทะเลตะวันออก ในทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก

ทางตอนเหนือล้อมรอบโดยชายฝั่งส่วนใต้ของคาบสมุทรเกาหลี และทางใต้จรดกับทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่เกาะญี่ปุ่น ของเกาะคีวชู และเกาะฮนชู ช่องแคบนี้มีความกว้างประมาณ 200 กิโลเมตร (120 ไมล์) และมีความลึกเฉลี่ยประมาณ 90 ถึง 100 เมตร (300 ฟุต)  โดยมีเกาะสึชิมะที่แบ่งช่องแคบเกาหลีออกเป็นช่องตะวันตกกับช่องแคบสึชิมะ โดยช่องแคบตะวันตกนี้มีความลึกกว่า (ถึง 227 เมตร) และมีความแคบกว่าช่องแคบสึชิมะมีสาขาของกระแสน้ำอุ่นกุโระชิโอะไหลผ่านช่องแคบ สาขาของกระแสน้ำนี้มีความอุ่นและบางครั้งเรียกว่ากระแสน้ำสึชิมะ ซึ่งกำเนิดพร้อมกันกับหมู่เกาะของญี่ปุ่น ซึ่งในปัจจุบันได้พาดผ่านทะเลตะวันออกจากนั้นได้แบ่งออกเป็นแนวชายฝั่งของเกาะซาฮาลิน ในท้ายที่สุด ได้ไหลสู่มหาสมุทรแปซิฟิกเหนือผ่านทางช่องแคบส่วนเหนือของจังหวัดฮกไกโด และเข้าสู่ทะเลโอคอตสค์ ทางตอนเหนือของเกาะซาฮาลิน ใกล้กับเมืองวลาดีวอสตอค ซึ่งลักษณะมวลของน้ำมีความต่างกันค่อนข้างหลากหลายเพราะความเค็มของน้ำค่อนข้างต่ำในชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของเกาหลีรวมไปจนถึงประเทศจีน
ความสำคัญทางเศรษฐกิจ  มีการส่งสินค้าระหว่างประเทศหลายเส้นทางผ่านทางช่องแคบ รวมถึงมีการบรรทุกจำนวนมากของท่าเรือทางตอนใต้ของเกาหลีใต้ ทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่นต่างได้รับการจำกัดสิทธิเรียกร้องในอาณาเขตของพวกเขา ในช่องแคบนี้ถึง 3 ไมล์ทะเล (5.6 กม.) จากชายฝั่ง เพื่อให้มีการอนุญาตอย่างเสรีในการเดินทางผ่านช่องแคบนี้มีเรือโดยสารหลายเส้นทางที่ผ่านช่องแคบนี้ โดยเรือพาณิชย์ข้ามฟากแล่นจากปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ถึงท่าเรือญี่ปุ่น ประกอบด้วย ฟุกุโอะกะ, ทสึชิมะ, ชิโมะโนะเสะคิ และฮิโระชิมะ เรือข้ามฟากยังเชื่อมต่อเกาะทสึชิมะกับฟุกุโอะกะ ส่วนเกาหลีใต้คือเกาะเชจูเชื่อมต่อกับเกาหลีแผ่นดินใหญ่ เรือข้ามฟากมีการเชื่อมต่อปูซานกับเมืองในญี่ปุ่นด้วยท่าเรือที่มีอยู่ในประเทศจีนสำหรับการเดินทางข้ามช่องแคบด้วยเช่นกัน น่านน้ำของญี่ปุ่นขยายออกไปถึงสามไมล์ทะเล (5.6 กม.) เข้าไปในช่องแคบถึงระดับสิบสอง ตามที่รายงานเพื่ออนุญาตให้เรือรบกองทัพเรือสหรัฐติดอาวุธนิวเคลียร์ และเรือดำน้ำเพื่อการขนส่งทางช่องแคบโดยไม่เป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามของประเทศญี่ปุ่น เมื่อเผชิญกับอาวุธนิวเคลียร์ในอาณาเขตนี้[1]
แหล่งข้อมูล http://th.wikipedia.org/wiki
เศรษฐกิจ เป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ ที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด เป็นประเทศพัฒนาแล้วการเพาะปลูก : พืชสำคัญได้แก่ ข้าวเจ้า ข้าวบาร์เลย์ แอปเปิล มันฝรั่ง ถั่วเหลือง ข้าวสาลี
การเลี้ยงสัตว์ : สัตว์เลี้ยงสำคัญได้แก่ สุกร โค สัตว์ปีก และตัวไหม
การประมง : ผลผลิตทางการประมงของเกาหลีใต้มีเหลือใช้ในประเทศจนสามารถส่งเป็นสนค้าส่งออกที่สำคัญอย่างหนึ่ง เกาหลีใต้สามารถจับปลาได้เป็นอันดับ 10 ของโลก (ไทยเป็นอันดับ 9 สถิติปี พ.ศ. 2535)
การทำเหมืองแร่ : เกาหลีใต้ขาดแคลนถ่านหินและน้ำมันปิโตเลียม แต่มีแร่ธาตุอื่นๆอีกหลายชนิด ได้แก่ แกรไฟต์ ดินเกาลิน และทังสเตน
อุตสาหกรรม : อุตสาหกรรมในเกาหลีใต้ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเบา ผลผลิตทางอุตสาหกรรมที่สำคัญได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ รถยนต์ ปิโตรเคมี และเรือเดินสมุทร
แหล่งข้อมูล
http://th.wikipedia.org/wiki



วัฒนธรรมเกาหลี

ถึงแม้ว่าการเมืองของประเทศเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ จะมีความขัดแย้ง แต่สิ่งที่ทั้งสองประเทศมีร่วมกันคือ วัฒนธรรมเกาหลี
นาฏศิลป์  ความแตกต่างระหว่างนาฏศิลป์พื้นบ้านกับนาฏศิลป์มาตรฐานในเกาหลีคือ ดนตรีประกอบ นาฏศิลป์มาตรฐานทั่วไปของเกาหลีนั้น เรียกว่า jeongjaemu (정재무) ซึ่งจัดแสดงในงานเลี้ยง และ ilmu (일무) ซึ่งจัดแสดงในพิธีขงจื้อเกาหลี Jeongjaemu แบ่งเป็นการแสดงแบบท้องถิ่น (향악정재, hyangak jeongjae) และแบบทางการซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากเอเชียกลางและประเทศจีน (당악정재, dangak jeongjae) ส่วน Ilmu ก็แบ่งเป็นการแสดงแบบสามัญชน (문무, munmu) และแบบทหาร (무무, mumu) การแสดงส่วนใหญ่มักสวมหน้ากาก[5] ชุดที่นิยมใส่เพื่อแสดง เรียกว่า เก็นจะ
จิตรกรรม
ภาพจิตรกรรมแสดงถึงวันสำคัญวันหนึ่งของเกาหลี
จิตรกรรมที่พบในเกาหลีในช่วงยุคก่อนประวัติศาสตร์นั้น เป็นศิลปะสกัดหิน ซึ่งแสดงถึงการเผยแพร่ศาสนาพุทธจากประเทศอินเดีย ผ่านทางประเทศจีน
งานฝีมือ ภาพวาดงานฝีมือชิ้นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเกาหลีมีงานฝีมือที่เก่าแก่มากมายในเกาหลี ส่วนใหญ่มากเป็นงานฝีมือทีเกิดจากการกระทำยามว่างของผู้คน มักใช้วัสดุโลหะ ไม้ แฟบริก แก้ว ซึ่งหาพบได้ง่าย
งานฝีมือส่วนใหญ่ มักได้รับอิทธิพลจากประเทศจีน



ดอกไม้ประจำชาติเกาหลี

ดอกมูกุงฮวา หรือ โรส ออฟ ชารอน เป็นดอกไม้ประจำชาติเกาหลี ซึ่งจะบานสะพรั่งทั่วประเทศระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม สิ่งที่ทำให้ดอกไม้ชนิดนี้ไม่เหมือนดอกไม้ชนิดอื่นคือสามารถทนสภาพอากาศที่เลวร้ายและศัตรูพืชได้เป็นอย่างดี ความหมายของคำว่า มูกุงฮวา มาจากรากศัพท์ มูกุง ซึ่งหมายถึงความเป็นอมตะ คำ ๆ นี้สะท้อนความเป็นอมตะของประวัติศาสตร์เกาหลี ความมุ่งมั่นและความอดทนของชาวเกาหลี
แหล่งข้อมูล http://korea.tlcthai.com/
สัญลักษณ์ประจำชาติประเทศเกาหลีใต้
  • ธงประจำชาติ
ธงประจำชาติของประเทศเกาหลีใต้ ในภาษาเกาหลีเรียกว่า แทกึกกีโดย แทกึกแปลว่า จักรวาล และ กีแปลว่า ธง พื้นสีขาวของธงชาติ หมายถึง ความสะอาดบริสุทธิ์ของประชาชนของประเทศเกาหลีใต้ บนผืนธงประกอบไปด้วยวงกลมอยู่ตรงกลาง แบ่งเป็นสีน้ำเงินและสีแดงเท่าๆกัน ซึ่งเป็นลักษณะของ หยิน หยางตามหลักปรัชญาตะวันออกโดยสีน้ำเงิน หมายถึง หยิน หรือ พลังในเชิงลบ ส่วนสีแดง หมายถึง หยาง หรือ พลังในเชิงบวก ซึ่งพลังทั้งสองรวมกันเป็นหลักแห่งการเคลื่อนที่ ในการพัฒนาอย่างต่อเนื่องประสานกันอย่างสมดุล อีกทั้งเป็นหลักแห่งความสามัคคีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และรอบวงกลมนี้จะมีสัญลักษณ์สีดำตรงมุมทั้ง 4 ด้าน อยู่บนพื้นธงสีขาว สัญลักษณ์ทั้ง 4 มุมนี้ ได้แก่
    • Geon อยู่มุมบนด้านซ้าย หมายถึง สวรรค์
    • Gon อยู่มุมล่างด้านขวา หมายถึง โลก
    • Gam อยู่มุมบนด้านขวา หมายถึง น้ำ
    • Li อยู่มุมล่างด้านซ้าย หมายถึง ไฟ
เครื่องแต่งกายประจำชาติ


เครื่องแต่งกายของชาวเกาหลีใต้ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีชื่อเรียกว่าฮันบกซึ่งหากแยกคำ ฮันจะหมายถึง ชาวฮั่นหรือชาวเกาหลี และ บกหมายถึง ชุด ความหมายรวมจึงเป็น ชุดของชาวเกาหลีนั่นเองความงามและความอ่อนช้อยของวัฒนธรรมเกาหลี มักถูกถ่ายทอดออกมาผ่านทาง ภาพถ่ายของสุภาพสตรีในเครื่องแต่งกายฮันบกนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ชุดฮันบกจะเป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของประเทศเกาหลี เครื่องแต่งกายทั้งของผู้หญิงและผู้ชาย จะมีลักษณะหลวมเพื่อความสะดวกสบาย ในการเคลื่อนไหว และเสื้อผ้าจะใช้ผ้าผูกแทนกระดุมหรือตะขอ โดยส่วนประกอบของชุดฮันบก มีดังนี้
                ชุดผู้หญิง
        แพนที = กระโปรงชั้นใน
        ซ็อกชีมา = แถบผ้าขนาดใหญ่ ใช้มัดทรวงอกแทนเสื้อยกทรง
        ชีมา = กระโปรงชั้นนอก ยาวคลุมเท้า
        จอโกรี = เสื้อนอกแขนยาว
                ชุดผู้ชาย
        ปันซือ / แพนที = กางเกงชั้นใน
        พาจี = กางเกงขายาวชั้นนอก รวบปลายขาด้วย แทมิน
        แทมิน = แถบผ้าใช้มัดขากางเกง
        บันโซเม = เสื้อรัดรูปแขนสั้นใส่ข้างใน
        จอโกรี = เสื้อนอกแขนยาวไม่มีปก ไม่มีกระเป๋า

การผลิตชุดฮันบก มีประเภทเนื้อผ้าที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับโอกาสและวัยของ ผู้สวมใส่ โดยเด็กผู้หญิงหรือหญิงสาว (ที่ยังไม่แต่งงาน) จะสวมเสื้อสีเหลือง กระโปรงสีแดง และจะเปลี่ยนเป็นเสื้อสีเขียว กระโปรงสีแดงเมื่อแต่งงานแล้ว นอกจากนี้ ชาวเกาหลียังคำนึงถึงความเหมาะสมของเนื้อผ้ากับสภาพอากาศประเทศของตนอีกด้วย โดยในฤดูหนาวจะใช้ผ้าฝ้ายและสวมกางเกงขายาวที่มีสายรัดข้อเท้า ช่วยในการเก็บความร้อนของร่างกายส่วนในฤดูร้อนจะใช้ผ้าป่านลงแป้งแข็ง ซึ่งช่วยในการดูดซับและแผ่ระบายความร้อนในร่างกายได้ดี ในปัจจุบันการสวมชุดประจำชาติฮันบก จะใช้เฉพาะในโอกาสพิเศษต่างๆเท่านั้น เช่น งานมงคลสมรส, ซอลนัล (วันขึ้นปีใหม่ของเกาหลี) หรือวันชูซก (วันขอบคุณพระเจ้า) แต่อย่างไรก็ตาม ผู้คนบางกลุ่ม โดยเฉพาะผู้สูงอายุก็ยังคงสวมใส่ชุดฮันบกกันอยู่

กีฬาประจำชาติ

เทควันโด เป็นกีฬาที่ถือกำเนิดมาจากประเทศเกาหลีใต้ เป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวที่มีมาตั้งแต่ 2 พันกว่าปี ซึ่งคำว่า เทควันโด (Taekwondo)” มาจากการรวมของคำ 3 คำ คือ เท (tae) แปลว่า มือ, ควัน (kwon) แปลว่า เท้า, และ โด (do) แปลว่า สติปัญญา หรือ การมีสติ เมื่อรวมกันแล้ว จะได้ความหมายว่า ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว โดยใช้มือและเท้าอย่างมีสติ        ซึ่งการใช้มือและเท้า หมายความถึง ใช้สำหรับโจมตีและตั้งรับคู่ต่อสู้ ส่วนใช้อย่างมีสติ หมายความถึง การฝึกจิตกับกายให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งถือเป็นจุดหลักของกีฬาประเภทนี้ ประวัติความเป็นมาของเทควันโดนั้น มีต้นกำเนิดมาจาก การต่อสู้ที่เรียกว่า แทกคียอน ซึ่งเป็นการต่อสู้แบบดั้งเดิมของชาวเกาหลี โดยในช่วงระหว่างศตวรรษที่ 4 7 สมัยที่ 3 อาณาจักรได้แก่ โกคูรยอ ชิลลา และแพกเจ ต่อสู้กันเพื่อชิงความเป็นใหญ่ในคาบสมุทรเกาหลีนั้น แทกคียอนมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งต่อมาก็ได้มีการพัฒนามากขึ้น และในช่วงที่ผู้ที่มีทักษะในการต่อสู้ได้รับการนับถือกันมาก แทกคียอนก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเลื่อนยศของกองทัพ แต่พอมาถึงยุคสมัยแห่งโชซอน (ค.ศ. 1392 1910) สิ่งต่างๆ ก็เปลี่ยนไป มีการใช้ดาบกันมากขึ้น และบทบาทของแทกคียอนก็ค่อยๆ ลดลง อย่างไรก็ตาม ในอดีต ได้มีการจัดแทกคียอนขึ้นอยู่เป็นประจำเมื่อมีการจัดเทศกาลพื้นบ้านต่างๆ หรือการแข่งขันกันกับหมู่บ้านใกล้เคียง ในปลายยุคโชซอน ได้ให้คำอธิบายที่ถูกต้องที่สุดเกี่ยวกับแทกคียอนซึ่งถูกบันทึกไว้ ว่า มีบางสิ่งที่เรียกว่า กักซุล (ชื่อเดิมของแทกคียอน) ในวิธีการเดิม ซึ่งคู่ต่อสู้สองคนเผชิญหน้ากัน และมีการเตะกัน เพื่อให้อีกฝ่ายล้ม โดยการเตะมีด้วยกัน 3 ระดับ คือ 1) ระดับขา ในผู้ที่มีทักษะน้อย 2) ระดับหัวไหล่ ในผู้ที่มีทักษะสูง และ 3) ระดับศีรษะ ในผู้ที่เก่งที่สุด บรรพบุรุษของเราใช้มันเพื่อการล้างแค้น และแม้กระทั่งการพนัน หรือการต่อสู้เพื่อแย่งชิงผู้หญิงซึ่งในปัจจุบัน การต่อสู้นี้ได้ถูกนำมาดัดแปลงเป็นการให้คะแนนในกีฬาเทควันโดระดับสากล โดยนักกีฬาจะเน้นการใช้ส่วนที่ต่ำกว่าข้อเท้าทำคะแนนบริเวณเป้าหมาย คือ ส่วนที่สูงกว่าเอวขึ้นไป และสามารถใช้หมัดได้ที่หน้าอกเท่านั้น ส่วนการ กอด ผลัก ทุ่ม ศอก เข่า จะไม่ได้คะแนน



สายการบิน
โคเรียนแอร์ (ฮันกึล : 대한항공, ฮันจา : 大韓航空) เป็นสายการบินแห่งชาติของประเทศเกาหลีใต้ และเป็นสายการบินที่ใหญ่ที่สุด มีสำนักงานใหญ่ที่กรุงโซล มีฐานบินหลักที่ท่าอากาศยานนานาชาติอินชอนและท่าอากาศยานกิมโป นอกจากนี้ยังมีท่าอากาศยานรองอีก คือ ท่าอากาศยานนานาชาติเชจู และท่าอากาศยานนานาชาติกิมเฮ เมืองปูซาน [1] เป็นหนึ่งในพันธมิตรสายการบินสกายทีม

อุปนิสัยและวัฒนธรรม

พื้นฐานเดิมเกาหลีเคยตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น 35 ปีและก่อนหน้านั้นก็เคยตกอยู่ใต้การปกครองของจีน มองโกเลีย ทำให้ชาวเกาหลีตระหนักถึงความยากลำบากต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดลักษณะนิสัยอย่างหนึ่งคือ ความขยันหมั่นเพียร เพื่อที่จะเอาชนะความยากลำบากเหล่านั้น และด้วยลักษณะนิสัยดังกล่าวนี้เอง เป็นส่วนทำให้ประเทศเกาหลีกลายเป็นประเทศพัฒนาเช่นปัจจุบันชาวเกาหลีจะมีนิสัยพูดเสียงดัง เนื่องจากว่าการพูดเสียงดังแสดงถึงพลังและอำนาจ และความเข้มแข็ง ดังนั้น ขณะสนทนากับชาวเกาหลี แม้ว่าจะอยู่ใกล้กันก็ตามแต่เขาจะพูดเสียงดังทีเดียว ทำให้ชาวต่างชาติรู้สึกเหมือนตะคอก หรือตะโกน แต่หากถามชาวเกาหลีแล้ว การพูดเสียงดังเช่นนั้นเป็นเรื่องปกติ
        ชาวเกาหลีจะเอาใจใส่กับงานที่ตนเองทำหรือรับผิดชอบ จะเอาจริงเอาจังกับนั้นมากทีเดียวชาวเกาหลีมักจะคิดเร็ว ทำเร็ว จนมีคำกล่าวว่า ทุกอย่างต้องเร็วหมด เนื่องจากสภาพที่เคยตกเป็นเมืองขึ้นทำให้เขากระทำทุกอย่างด้วยความเร็ว จะสังเกตได้ง่าย เช่น การทำงาน มีความรู้สึกว่าเขาทำงานด้วยความเร็วสูง หรือการเดินในที่สาธารณะ เพราะความเร็วนี้เอง เมื่อเดินในที่สาธารณะจะปะทะกับผู้อื่นตลอดเวลา สร้างความไม่พอใจให้กับชาวต่างชาติ แต่สำหรับชาวเกาหลีแล้ว การเดินปะทะกันเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งแปลก ปัจจุบันนี้สภาพการแข่งขันทางเศรษฐกิจมีมาก ก็ยิ่งสร้างความเร็วให้กับชาวเกาหลีมากยิ่งขึ้นเมื่อไปรับประทานอาหารร่มกันหลาย ๆ คน คนเกาหลีจะไม่แยกกันจ่ายหรือเฉลี่ยกัน โดยทั่วไปแล้ว คนที่ชวนคนอื่นจะเป็นผู้จ่าย และมักจะเลี้ยงอาหารดี ๆ เพื่อให้ประทับใจ    นอกจากข้างต้นแล้ว สามารถสรุปนิสัยด้านดีของชาวเกาหลีได้ดังนี้ คือ บากบั่น ขยันหมั่นเพียร ซื่อสัตย์ มั่นคง เคารพบรรพบุรุษ เป็นคนช่างคิด รักในการเรียน มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ มีความกตัญญู ความเป็นชาตินิยมสูง
       ข้อเสียของชาวเกาหลี คือ ยึดตัวเองเป็นหลักมากเกินไป แบ่งพรรคแบ่งพวก การเอาชนะผู้อื่น ขาดเหตุผล มองโลกในแง่ร้าย มักไม่ไว้ใจคนอื่น มีข้ออ้างหรือข้อแก้ตัวตลอดเวลา
การทักทาย การทักทายของชาวเกาหลีจะใช้การโค้งคำนับ ซึ่งจะโค้งมากน้อยขึ้นอยู่กับความอาวุโสของผู้ที่รับการคำนับ
วัฒนธรรมเกาหลี   ในปัจจุบันสังคมเกาหลีได้รับอิทธิพลจากตะวันตก จีน และญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นวัฒนธรรมบางส่วนได้เปลี่ยนไปบ้าง โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น ถือว่าเป็นรุ่นที่ยอมรับวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามามากที่สุด เกาหลีมีวัฒนธรรมที่น่าสนใจมากมาย แต่ในที่นี้จะขอเอ่ยถึงวัฒนธรรมที่สำคัญเท่านั้น
วัฒนธรรมการแต่งกาย ปัจจุบันชาวเกาหลีจะแต่งกายแบบสมัยนิยม แต่หากเป็นงานพิธี เช่น พิธีแต่งงาน พิธีวันเกิด หรือการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ก็จะนิยมแต่งกายโดยชุดประจำชาติ ซึ่งชุดประจำชาติของเกาหลี เรียกว่า ฮันบกหากแปลตามตัวอักษรแล้ว ฮันหมายถึงชาวเกาหลี บกหมายถึงเสื้อผ้า หรือชุด รวมแล้วหมายถึง ชุดของชาวเกาหลีนั่นเอง
        ชุดฮันบกมีหลายลักษณะ ซึ่งจะออกแบบตามฤดูกาล เช่น ชุดฮันบกฤดูร้อนกับหนาว ความหนาของเนื้อผ้าและชุดจะแตกต่างกัน ชุดฮันบกของผู้สูงอายุกับวัยรุ่นหรือเด็ก ๆ ก็มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป เช่น ฮันบกของผู้อาวุโส จะเป็นสีพื้นหรือสีทึบ ๆ แต่ของวัยรุ่น จะมีลักษณะหลากสีสัน ชุดฮันบกสามารถบ่งบอกได้ว่าผู้หญิงที่สวมใส่นั้นแต่งงานหรือยัง หากมีลักษณะหลากสีสัน และมีแถบสีที่แขนหลาย ๆ แถบ แสดงให้เห็นว่าผู้นั้นยังไม่แต่งงาน และนิยมถักเปียยาวอีกด้วย หากเป็นชุดฮันบกสีขาว หมายถึง ชุดไว้ทุกข์ ดังนั้นโดยทั่วไปแล้ว ชาวเกาหลีจะไมใส่ชุดฮันบกสีขาว ในปัจจุบันผู้ที่สวมใส่ชุดฮันบกมักจะเป็นผู้ที่แต่งานแล้ว และเป็นผู้ใหญ่เป็นส่วนใหญ่
วัฒนธรรมการกิน  อาหารหลักของชาวเกาหลี คือ ข้าว เช่นเดียวกับคนไทยที่กินข้าวเป็นอาหารหลัก แต่ลักษณะของกับข้าวนั้นแตกต่างกัน โดยเฉพาะรสชาติของเกาหลีนั้น จะมีความเผ็ดน้อยกว่าของไทย ทำให้ชาวไทยคิดว่าชาวเกาหลีรับประทานอาหารรสไม่จัด อาหารเกาหลีจะมีอาหารประเภทผักมากกว่าเนื้อ ชาวเกาหลีจะปลูกฝังให้ลูกหลานรับประทานผักมากกว่าเนื้อ สำหรับอาหารที่เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของเกาหลี คือ กิมจิ เป็นพวกผักดอง โดยใส่เครื่องปรุงรสลงไป ทุกครั้งที่รับประทานอาหารกิมจิจะต้องปรากฏบนโต๊ะอาหาร หากขาดกิมจิอาหารมื้อนั้นก็จะขาดรสชาติไปเลย หากบ้านไหนหรือร้านไหนทำกิมจิอร่อย ถือว่าบ้านนั้นทำกับข้าวได้อร่อยด้วย อาหารเกาหลีในแต่ละภูมิภาคนั้น จะมีรสชาติที่แตกต่างกัน จังหวัดชอลลาโด ได้ชื่อว่าเป็นจังหวัดที่อาหารอร่อยที่สุด อาหารที่ขึ้นชื่อได้แก่ พิบิมบับ ( ข้าวยำ ) คงนามูลกุกบับ ( ข้าวต้มถั่วงอก ) นอกจากนี้ยังมีอาหารชุด ซึ่งมีกับข้าวมากกว่า 20 ชนิด ( ฮันจองชิก )
        ชาวเกาหลีไม่นิยมนั่งรับประทานอาหารที่โต๊ะ แต่จะนั่งบนพื้นและมีโต๊ะสำหรับวางอาหาร ( พับซัง ) มีถ้วยซุปซึ่งวางทางด้านขวาของข้าวและมีช้อนกับตะเกียบวางอยู่ ชาวเกาหลีใช้ตะเกียบในการรับประทานอาหารซึ่งเป็นตะเกียบเหล็ก บนโต๊ะกับข้าว อาจมีหม้อแกงใหญ่วางอยู่ ซึ่งทุคนใช้ตะเกียบหรือช้อนของตนเองตักอาหาร ไม่ใช้ช้อนกลาง แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์และปรองดองกันได้เป็นอย่างดี

        มารยาทอย่างหนึ่งของการรับประทานอาหารคือ คนที่อาวุโสที่สุด ณ ที่นั้น จะเป็นผู้ที่จับช้อน ตะเกียบตักอาหารก่อน หลังจากนั้น ผู้น้อยจึงจะสามารถรับประทานอาหารได้ และเราจะต้องรับประทานอาหารที่ตักมาให้หมด หากรับประทานไม่หมดถือว่าอาหารนั้นไม่อร่อย 
เทศกาลตามฤดูกาล
ฤดูใบไม้ผลิ  เทศกาลเครื่องดื่มและขนมพื้นบ้านแห่งเกาหลี
เทศกาลเครื่องดื่มและขนมพื้นบ้านแห่งเกาหลี (Korean Traditional Drink and Cake Festival)  เทศกาลอาหารพื้นบ้านเกาหลีนี้จัดขึ้นที่เคียงจู, จังหวัดเคียงซางบุก-โด ผู้มาเยือนจะพบกับขั้นตอนการทำเครื่องดื่มและขนมข้าวพื้นบ้านชั้นครูและลองชิมฟรี ภาพที่เห็นคือการดื่มเหล้ากลั่นพื้นบ้านและขนมข้าวรสละมุน เป็นเป็นพิเศษในด้านพิธีการและตามฤดูกาล รวมถึงขนมพื้นบ้านรับประทานคู่กับเครื่องดื่มและขนมข้าวทั้งหมดทำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการครัวและขายในราคาลดพิเศษ  เทศกาลเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของจีนและญี่ปุ่นก็จะดื่มเคียงคู่ไปกับขนมข้าว งานด้านการครัวต่างๆ เปิดให้สำหรับทุกคนเข้าร่วม รวมถึงการแสดงนิทรรศการเครื่องดื่ม ขนมข้าว และเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆในการทำ วิธีการทำขนมข้าว การสาธิตการแต่งงานแบบดั้งเดิม และงานรื่นเริงที่จัดมาหลายชั่วอายุ การเรียนรู้มารยาทและขั้นตอนการดื่ม การแสดงดนตรีแบบดั้งเดิมตามสมัยอาณาจักรชิลลา (Silla Kingdom) (57 ปี ก่อน ค.ศ. - ค.ศ. 935) และอื่นๆ
                เทศกาลวัฒนธรรมวังอิน (Wang In Cultural Festival)  วังอินเป็นปราชญ์ในช่วงศตวรรษที่ห้าในสมัยอาณาจักรแพ็กเจ (Baekje Kingdom) (18 ปีก่อน ค.ศ. - ค.ศ. 660) ท่านได้เดินทางไปญี่ปุ่นโดยคำเชิญของจักพรรดิญี่ปุ่นและได้เผยแพร่คำสอนของท่านขงจื๊อ ตำราชนจามุน (Cheonjamun) (อักขระจีนพันตัว) และทักษะการทำกระดาษซึ่งทั้งหมดนี้ได้ช่วยอุปถัมภ์วัฒนธรรมอาสุกะของญี่ปุ่น เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณประโยชน์ของท่านเทศกาลวัฒนธรรมวังอินได้มีการจัดขึ้นทุกปีที่บ้านเกิดของท่าน ที่ยองอัม-กุน จังหวัด ชลลานัม-โด มีการจัดพิธีการพิเศษอันหลากหลาย รวมถึงการให้บริการเพื่อเป็นการรำลึกและการจัดแสดงพิธีกรรมโบราณที่อารามวังอินที่ซึ่งโต๊ะและรูปเขียนของท่านถูกยกย่องว่า "การเดินทะเลสู่ญี่ปุ่น" ที่ซึ่งผู้คนจะแต่งกายในแบบแพ็กเจ 300 คนจะเดินตามรอยเท้าท่านจากอารามไปยังท่าเรือซังแดโพ (Sangdaepo Ferry) อันเป็นที่ที่ท่านออกเดินทางและพิธีการอื่นๆอีก เรือสไตล์แบกเชและข้าวของโบราณต่างๆจะนำท่านผู้มาเยือนกลับไปยังช่วงเวลาแห่งยุคแบกเช สิ่งที่ต้องชมอีกอย่างคือการเดินพาเหรดโคมอักขระจีนพันตัวซึ่งนักเรียนหนึ่งพันคนจะออกเดินจากอารามไปยังท่าเรือในยามเย็นโดยแต่ละคนจะถือโคมที่มีตัวอักขระจีนสมัยขงจื๊อในแต่ละดวง
เทศกาลชินโด ยองดึง (Jindo Yeongdeung Festival)  ทะเลช่วงเกาะชินโดและเกาะโมโดห่างจากฝั่งโฮดอง-ริ (Hoedong-ri) ในจังหวัดชลลานัม-โด นั้นเป็นส่วนที่มีกระแสน้ำต่ำสุดในเดือนที่สามทางจันทรคติ ซึ่งน้ำลดจะเกิดถนนใต้ทะเลกว้าง 40 เมตรยาว 2.8 กิโลเมตร ซึ่งเป็นที่รู้จักแก่โลกเป็นครั้งแรกในปี 1975 โดยท่านปีแอร์ รังดี (Pierre Randy) ท่านอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำเกาหลีได้รายงานปรากฏการณ์ประหลาดนี้ในสื่อของฝรั่งเศสว่าเป็นราวกับ "ปาฏิหารย์ของโมเสส" ในรูปแบบเกาหลี ตำนานของปรากฏการณ์นี้มีอยู่ว่า ในอดีตกาลชาวเกาะได้รับความเดือดร้อนจากบรรดาเสือ ในปีหนึ่งการรุกรานของเสือถึงขึ้นร้ายแรงมากจนทำให้ชาวเกาะทั้งหมดต้องพลักพรากจากบ้านหนีไปยังเกาะโมโด เว้นแต่เพียงหญิงชราผู้หนึ่งชื่อยาย ป้อง ซึ่งสวดภาวนาด้วยแรงศรัทธาทุกวันว่าจะได้เห็นหน้าครอบครัวอีกครั้ง และแล้วเทวดาก็ช่วยยายด้วยการแบ่งทะเลออก

เทศกาลชินโด ยองดึง แสดงให้เห็นถึงการเฉลิมฉลองอันน่าปิติยินดีด้วยพิธีสักการะบูชาต่อยายป้อง (Grandma Ppong) เทศกาลจัดแสดงตามตำนานด้วยการล่องทะเลด้วยแพท่อนซุง การสักการะของชาวประมงต่อเทพแห่งทะเล และการชุมนุมของกุ้งหอยบนถนนทะเล การร้องเพลงเวลาทำงานของชาวเกาะชินโด เพลงของพวกหามหีบศพ งานรื่นรมย์ของบบรรดาผู้ไว้ทุกข์และการแสดงพื้นบ้านต่างที่เป็นลักษณะเฉพาะของเกาะชินโด จัดขึ้นที่สิ่งหลงเหลือจากประวัติศาสตร์ อาทิ ที่ ยองจางซันซอง (Yongjangsanseong) (ป้อมภูเขา) และนัมโดซกซอง (Namdoseokseong) (ป้อมศิลา) ซึ่งถูกสร้างในสมัยราชวงศ์โคเรียว (Goryeo Dynasty) (ค.ศ. 918-1392) และอุลลิมซานบัง (Ullimsanbang) ห้องทำงานของโฮวยู (Heo Yu) จิตรกรผู้มีชื่อเสียงในปลายราชวงศ์ โชซอน (Joseon Dynasty)
เทศกาลวัฒนธรรมออนยาง (Onyang Cultural Festival) เทศกาลวัฒนธรรมออนยางจัดขึ้นในช่วงคล้ายวันเกิดท่านนายพลเรือยีซุน-ชิน (Admiral Yi Sun-shin) เพื่อเป็นแรงบันดาลให้เกิดความรักชาติในการรำลึกถึงท่านผู้เป็นวีรบุรุษแห่งชาติผู้ต่อสู้กับการรุกรานของฮิเดโยชิแห่งญี่ปุ่นในปี1592 มีพิธีการหลากหลายเพื่อแสดงการสรรเสริญต่อท่านนายพลยีเมื่อสี่ร้อยปีที่แล้วและเป็นแรงบันดาลให้ผู้คนรู้สึกใกล้ชิดกับวีรบุรุษในประวัติศาสตร์ สถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวบริเวณใกล้เคียงได้แก่ อารามฮยองชุงซา (Hyeongchungsa Shrine) ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของอนุทินสงครามต่างๆที่เขียนขึ้นโดยท่านนายพล , โคบุคซอน (geobukseon) หรือ เรือเต่าซึ่งเป็นเรือรบหุ้มเกราะลำแรกและดาบยาว ที่ถูกกำหนดให้เป็นสมบัติแห่งชาติ รวมถึงบ่อน้ำร้อนออนยางและอาซาน เหตุการณ์สำคัญได้แก่อาทิ เกมการรบทางทะเลของเรือเต่า การแข่งขันชักว่าว การแข่งขันมาราธอนของวีรบุรุษ การสาธิตการทดสอบการรับราชการทหาร และอื่นๆ
                เทศกาลชุนยาง (Chunhyang Festival)  เทศกาลชุนยางซึ่งเป็นเทศกาลยอดนิยมตลอดการในประเทศเกาหลีจัดขึ้นทุกปีที่นัมวอนจังหวัดชลลาบุก-โด ซึ่งจะครบรอบ 74 ปีในปี 2004 นี้ ชุนยางเป็นวีรสตรีผู้ซื่อสัตย์ในชุนยางจอน (Chunhyangjeon) ซึ่งเป็นวรรณกรรมที่มีผู้อ่านอย่างกว้างขวางในช่วงกลางของราชวงศ์โชซอน เรื่องมีอยู่ว่าชุนยางซึ่งเป็นลูกสาวของนักแสดงเกษียณอายุหญิงคนหนึ่งได้ตกหลุมรักกับยีมอง-ยอง (Yi Mong-nyong) บุตรแห่งผู้ปกครองนัมวอนและให้คำปฏิญาณว่าจะแต่งงานกัน มอง-ยองจะต้องไปอยู่เมืองหลวงฮานยาง(กรุงโซลในปัจจุบัน) ซึ่งพ่อของเขาถูกย้ายไปประจำที่นั่นรวมถึงต้องเตรียมตัวสอบเป็นจองหงวน ผู้ปกครองที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่นามว่า เบียน ต้องตาต้องใจในความงามของชุนยางและทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะใจเธอให้ได้ ทว่าชุนยางปฏิเสธเขาด้วยเธอภักดีต่อมอง-ยอง จนทำให้ผู้ปกครองซึ่งโกรธแค้นเธอจับเธอใส่ตะรางและทุบตี ในงานวันเกิดของเบียน เขาเอาแอกไม้หนักๆมาล่ามคอเธอ ยีปรากฏกายขึ้นในบันดลด้วยตำแหน่งผู้ตรวจการลัดของหลวงซึ่งได้รับมอบหมายให้มาสืบหาเจ้าหน้าที่ผู้ทุจริต เขาลงโทษ เบียน และช่วยชีวิตชุนยางได้ในที่สุด ทั้งคู่ก็ได้ใช้ชีวิตอย่างผาสุกมานับแต่นั้น
เทศกาลนี้มุ่งประเด็นไปที่คุณธรรมแห่งความภักดีที่ไม่มีวันตาย กิจกรรมต่างๆ รวมถึงการเข้าเยี่ยมคารวะสุสานของชุนยาง พิธีการแสดงความเคารพชุนยางที่สวนกวางฮัลลูวอน ซึ่งผู้ประกอบพิธี 42 คนแสดงการคารวะและ นักดนตรี 30 คน จากศูนย์แสดงศิลปพื้นบ้านแห่งชาติเป็นผู้เล่นเพลงการประกวดเพลงดั้งเดิมชุนยางเป็นการแข่งขันดนตรีดั้งเดิมระดับชาติและการแสดงต่างๆถูกนำเสนอในเทศกาลนี้
เพิ่มเติมด้วยเทศกาลหัตถกรรมไม้นัมวอนที่จัดขึ้นที่ เลิฟ พลาซ่า ใน โอฮยอน-ดอง (Eohyeon-dong) ซึ่งแสดงวิจิตรศิลป์แห่งหัตถกรรมจากไม้ หนึ่งในสิ่งพิเศษอันน่าภาคภูมิของนัมวอน ซีรึม (Ssireum) มวยปล้ำโบราณ
และชิงช้าคีเนตุยกี (geunettwigi) (สำหรับผู้หญิงเล่น) มีขึ้นที่ริมลำธารโยชอน
เทศกาลแทกู ยังเนียงชี (Daegu Yangnyeongsi Festival)  ริมถนนนัมยอง-โนระยะทาง 700 เมตรในย่านธุรกิจของแทกูมักจะอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของตัวยาสมุนไพร โดยทั่วไปมักเรียกว่า "ตรอกยา" คือศูนย์กลางแห่งธุรกิจ 350 กิจการซึ่งเกี่ยวข้องกับการแพทย์แผนตะวันออก รวมทั้งยาสมุนไพรการบำบัดด้วยการฝังเข็ม คลินิกสมุนไพร การต้มยาและ ร้านขายสมุนไพรและโสม ประวัติศาสตร์ของตลาดการแพทย์แผนตะวันออกย้อนยุคไปยังศตวรรษที่ 16 ในสมัยราชวงศ์ โชซอน (ค.ศ. 1392-1910) ในช่วงแรกๆนั้นตลาดสมุนไพรจะจัดขึ้นในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิใกล้กับที่ตั้งสำนักงานรัฐบาลเก่าและย้ายไปยังสวนสาธารณะเคียงซัง กัมยอง (Gyeongsang Gamyeong) ตลาดได้ย้ายไปเปิดยังที่ตั้ง ณ ปัจจุบันในปี 1908 กำหนดให้มีการอนุรักษ์ประเพณีการรักษาโรคและส่งเสริมการแพทย์โดยสมุนไพร เทศกาลแทกู ยังเนียงชี เริ่มด้วยพิธีการรำลึกถึงและขอพรให้มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่องของการค้าและความอยู่ดีกินดีของคนในท้องถิ่น ในขณะเดียวกันก็มีพิธีคารวะท่าน เชน นอง บิดาแห่งการแพทย์สมุนไพรจีน การแสดงเพิ่มเติมก็มีอาทิ เกมถามตอบชื่อสมุนไพร การตรวจเช็คร่างกายฟรี นิทรรศการเครื่องมือรักษาโรคแบบตะวันออก และเหล้ายาทำจาก สมุนไพรเสริมสุขภาพและรากไม้ต่างๆ เช่น โสม และสมุนไพรต่างๆ ผู้มาเยือนอาจได้เข้าร่วมการประมูลสมุนไพรและการแข่งขันซื้อสมุนไพรด้วย
เทศกาลวัฒนธรรมผ้าป่านนรามี (Hansan Ramie Fabric Cultural Festival)  ได้มีการเก็บเกี่ยวโมซี (Mosi) (พืชยืนต้นที่มีใยคล้ายป่าน) ที่ฮันซานมาตั้งแต่อาณาจักรแพ็กเจแล้ว ผ้าป่านรามีได้เป็นสิ่งทอสำหรับชุดในฤดูร้อนที่ดีที่สุดเป็นเวลาช้านานโดยได้รับการชื่นชมว่าเป็นผ้าที่เบาบางดุจปีกแมลงปอ การซึมผ่านได้ง่าย การดูดซับความชุ่มชื้น และความคงทนทำให้ผู้สวมใส่รู้สึกเย็นสบายและสดชื่นในช่วงฤดูร้อน ในวันเวลาแห่งอดีตผ้าฮานซานรามีคุณภาพชั้นยอดได้ถูกใช้เป็นของกำนัลให้กับกษัตริย์ เทศกาลจะครบ 15 ปีในปี 2004 นี้และจะนำเสนอช่วงเวลาอันอัศจรรย์ที่จะเห็นคุณค่าถึงผ้าชนิดนี้และผ้ารามีโบราณอันงามล้ำรวมถึงรูปแบบสมัยนิยมใหม่ๆ งานแสดงต่างๆรวมทั้งการจัดนิทรรศการผ้ารามีที่ย้อนยุคไปตั้งแต่ยุคสามก๊ก ชุดแต่งกายประจำชาติเกาหลี ที่เรียกว่า ฮันบก การย้อมสีโดยธรรมชาติโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการย้อมผ้า  ยังมีตลาดรับอรุณซึ่งให้มีการศึกษาและซื้อผลิตภัณฑ์ ในโปรแกรมที่ต้องทำด้วยตนเองนั้นผู้มาเยือนจะได้รับการทดลองโดยครูผู้ที่จะสอนให้รู้จักการแยกเส้นใยดิบด้วยมือ การปั่นเส้นใย การทอด้วยกี่และการย้อม
เทศกาลสมุนไพรเขาชีรีซาน (Mt. Jirisan Herb Festival) ซันชองเป็นแหล่งกำเนิดของสมุนไพรแผนตะวันออกที่มีชื่อในด้านคุณภาพและประสิทธิภาพด้วยว่าเติบโตบนเขาชีรีซานอันเลื่องลือของเกาหลี แพทย์แผนตะวันออกมากมายเกิดที่นี่รวมถึง หมอ ยูอึย-แท (Dr. Yu Eui-tae)ปรมาจารย์ของท่าน โฮว จุน (Heo Jun) แพทย์แผนตะวันออกผู้โด่งดังในยุคราชวงศ์โชซอนผู้ก่อตั้งมูลนิธิแพทย์แห่งเกาหลี  เทศกาลให้โอกาสอันงดงามแก่นักท่องเที่ยวที่จะได้รับประสบการณ์ในโลกแห่งศาสตร์การแพทย์แผนตะวันออกอันลี้ลับรวมทั้งการทดลองและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ ที่เทศกาลนี้แหละที่ท่านจะได้รับยาแผนตะวันออกและอาหารตัวอย่างทำจากยาสมุนไพรงานที่สำคัญคือการทดลองชาสมุนไพรและอาหาร การบำบัดด้วยยาแผนตะวันออกฟรี การตัดต้นยา การชิมค็อกเทลที่ผสมด้วยพืชที่เป็นยา การเที่ยวชมตลาดยาสมุนไพร
เทศกาลสู้วัวแห่งชาติ (National Bullfighting Festival)  จองอับคือสถานที่ในช่วงการปฏิวัติดองฮักที่ชาวบ้านลุกฮือขึ้นสู้กับเจ้าหน้าที่ที่ทุจริตในปี 1894 จองอับยังเป็นที่กำเนิดของภูเขาแนจังซาน ที่มีชื่อว่าเป็นจุดที่สวยที่สุดในประเทศที่จะชมการร่วงหล่นของใบเมเปิล จองอึบมีสิ่งพิเศษท้องถิ่นมากมายแต่ที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็นเนื้อวัวที่คุณภาพไร้เทียมทาน วัวเนื้อที่นี่ได้รับการเลี้ยงดูตามปกติโดยเมล็ดบาร์เลย์ที่ยังไม่กระเทาะ ใบหญ้าเขียวสด และต้นไม้ยาแผนตะวันออก เทศกาลสู้วัวแห่งชาติที่จัดขึ้นที่จองอับนี้มีการแสดงวัฒนธรรมการสู้วัดลักษณะเฉพาะตามแบบฉบับเกาหลีซึ่งต่างไปจากสเปนมากรวมถึงโอกาสที่จะได้เยือนตลาดการค้าเนื้อวัวดั้งเดิมของเกาหลี  งานสำคัญๆรวมถึงการแข่งขันสู้วัว งานแสดงปศุสัตว์ การชิมเนื้อวัว นิทรรศการเครื่องมือปศุสัตว์ หมูชน และอื่นๆ
เทศกาลพระไตรปิฎกเกาหลี (Tripitaka Koreana Festival)  พระไตรปิฎกเกาหลี คือการเก็บรวบรวมคัมภีร์ทางพุทธศาสนาอันสมบูรณ์ที่สุดที่เก็บรักษาในวัดแฮอินซา อันประกอบไปด้วยแม่พิมพ์ไม้กว่า 80,000 ชิ้นที่ได้ถูกสลักทั้งสองด้านและได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมแห่งโลก เทศกาลทริปิทาก้า โคเรียน่า เน้นไปที่วัฒนธรรมพุทธศาสนาของเกาหลีที่วัดแฮอินซาและภูเขาคายาซาน ขุนเขาอันโด่งดังของเกาหลี ชาวต่างประเทศถูกนำเสนอการเข้าพักและการให้ชิมอาหารวัดโบราณ อันเป็นโอกาสพิเศษเฉพาะที่จะได้ประสบการณ์จากบรรยากาศแห่งศาสนาพุทธในเกาหลี โปรแกรมต่างๆที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานถูกจัดขึ้นเพื่อให้ไม่เพียงแต่ชาวพุทธเท่านั้นแต่รวมถึงคนทั่วไปที่จะได้เข้าถึงวัฒนธรรมแบบพุทธและความเรียบง่ายภายใต้สภาพแวดล้อมอันบริสุทธิ์ของภูเขาคายาซาน  งานแสดงพิเศษต่างๆรวมทั้งละครระบำเรื่องพระไตรปิฎกเกาหลี ฮับชอน โอควานแด นอริ (Hapcheon Ogwandae Nori) พิธีจุดประทีปและงานรื่นเริงแสงเทียน และอื่นๆ             
เทศกาลชาน้ำค้างแห่งขุนเขาฮาดง (Hadong Mountain Dew Tea Festival)  ฮวาเก-เมียน (Hwagae-myon) ที่ฮาดงเป็นแหล่งของการเก็บเกี่ยวชาในเกาหลีเช่นเดียวกับ โบซอง ในจังหวัด ชลลานัม-โด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุนซู-รี (Unsi-ri) ในฮวาแก-เมียนได้รับการยกย่องว่าเป็นสถานที่ปลูกชาได้ดีที่สุดของเกาหลี ได้มีการเก็บเกี่ยวชาเกาหลีครั้งแรกที่นี่ในปี ค.ศ. 828 โดยเมื่อคิม แท-เรียม (Kim Dae-ryeom) ซึ่งเป็นอุปทูตเดินทางไปเชี่อมไมตรีกับราชวงศ์ถังของจีนได้เดินทางกลับมาพร้อมกับเมล็ดชาและเพาะปลูกลงบนเนินเขาในบริเวณนี้โดยคำสั่งของกษัตริย์ และแล้วบริเวณนี้ก็ได้เป็นแหล่งเพาะปลูกชาที่ดีที่สุดนับแต่นั้นมา เพื่อเป็นการรำลึกถึงประวัติศาสตร์นี้ ฮาดง-กุนได้จัดเทศกาลชาป่าขึ้นทุกปี ชาเขียวป่าท้องถิ่นยังคงผลิตโดยใช้แรงงานคนและส่วนผสมของมันก็มีประสิทธิผลในการป้องกันมะเร็ง เบาหวาน และความดันโลหิตสูง ชาเขียวยังช่วยกำจัดสารไดอ็อกซินที่สะสมอยู่ในร่างกาย เทศกาลนี้นำเสนอการแสดงที่มีการริเริ่มตระเตรียมขึ้นมาใหม่เช่นการแข่งขันชาพรีเมี่ยมแห่งปีและชาราชินีอันงดงาม  ผู้มาเยือนจะได้รับประสบการณ์ในการคัดเลือกใบชาและขั้นตอนการผลิตรวมถึงศิลปในพิธีดื่มชาแบบดั้งเดิม และมีรถรับส่งให้บริการตลอดงาน
 เทศกาลผีเสื้อฮัมเปียง (Hampyeong Butterfly Festival)  เทศกาลผีเสื้อฮัมเปียงนำเสนอความอลังการของผีเสื้อนับหมื่นๆ ที่บินร่อนเหนือทะเลแห่งดอกไม้นานาพรรณในพื้นที่ถึง 33 ล้านตารางเมตรซึ่งอยู่อาศัยในแดนแห่งสวรรค์ฮัมเปียง เทศกาลนี้เป็นความพยายามครั้งแรกในโลกที่จะจัดเทศกาลซึ่งมีผีเสื้อและแมลงที่มีชีวิตกับธรรมชาติและได้รับการกำหนดเป็นครั้งแรกในปี 2003 ว่าเป็น "เทศกาลการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม"  ผีเสื้อบินโฉบไปมาเหนือทุ่งดอกเรบซีดที่บานสะพรั่งให้สีสันจินตนาการแห่งเทพนิยายให้กับเด็กๆและย้อนเวลากลับไปยังโลกแห่งจินตนาการเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่จะเก็บประสบการณ์ในระบบชีววิทยา มีการแสดงคอนเสิร์ต การประกวดภาพเขียนและการแสดงต่างๆ อีกมากมาย            
                เทศกาลละครใบ้นานาชาติชุนชอน (Chuncheon International Mime Festival)  เทศกาลละครใบ้นานาชาติจะฉลองครบรอบปีที่ 16 ในปี 2004 นี้ เทศกาลซึ่งเริ่มขึ้นในปี 1989 นั้นเดิมทีเรียกว่าเทศกาลละครใบ้เกาหลีและได้ถูกเปลี่ยนไปใช้ชื่อปัจจุบันในปี 1995 โดยที่คณะละครได้รับการเชิญจากต่างประเทศ  และในฐานะที่เป็นสถานที่แห่งเดียวที่มีการแสดงทำให้เทศกาลนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและขณะนี้ก็ได้มีการริเริ่มการแสดงใหม่ๆเพื่อเอาใจบรรดาผู้ที่ชื่นชอบละครใบ้ทั้งในประเทศและทั่วโลก เทศกาลละครใบ้เริ่มโดยพิธีกรรมทางศาสนาและพิธีเปิดงานและตามด้วยการแสดงที่เป็นสีสันต่างๆ อาทิ ปุงมุลลอริ (pungmullori) หรือ ดนตรีเครื่องเคาะจังหวะพื้นบ้าน และระบำละครใบ้สวมหน้ากาก ทัลชุม (talchum) จุดเด่นของงานคือทกแคบิ นันจาง (Dokkaebi Nanjang) คือการแสดงตลอดคืนซึ่งมีการแสดงละครใบ้ การแสดงตัวละครในวรรณคดี คอนเสิร์ตวงร็อค ดนตรีและภาพยนต์ ที่ชุนชอนเมืองแห่งม่านหมอกและทะเลสาบนี้เองที่มีการแสดงของคณะละครใบ้จากญี่ปุ่น ฝรั่งเศส อิสราเอล เยอรมัน สหราชอาณาจักร มองโกเลีย และจากที่อื่นๆทั่วโลก
                ฤดูร้อน
เทศกาลโคลนโพเรียง(Boryong Mud Festival)  เทศกาลโคลนโพเรียงเผยแพร่งานแสดงบนหาดแทจอนอันอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่โพเรียง, จังหวัดชุงชองนัม-โด ภูมิภาคที่เต็มไปด้วยความแปลกตาของชายฝั่ง สิ่งที่ดึงดูดให้มีผู้มาเยือนตลอดปีที่นี่คือหาดแทชอนซึ่งประกาศความเป็นหาดรูปจันทร์เสี้ยวที่ยาวที่สุดในฝั่งทะเลตะวันตก หาดมูจางโป ที่มีชื่อเสียงว่าเป็น "ปาฏิหารย์แห่งโมเสส" อีกแห่งนอกจากที่เกาะชินโด และหมู่เกาะ 78 เกาะ โคลนแห่งนี้อุดมด้วยธาตุเจอร์มาเนียมและองค์ประกอบอื่นๆซึ่งมีประสิทธภาพในการบำบัดผิวให้กระชับสดใสขึ้นและกำจัดสิ่งอุดตันตามรูขุมขน โคลนซึ่งเป็นชื่อของเทศกาลนี้มีอยู่เต็มบริเวณชายหาดต่างๆที่สะอาดตามชายฝั่งโพเรียง แป้งโคลนที่สะกัดได้นั้นผ่านขั้นตอนอันพิถีพิถันจนมีประสิทธิผลในการรักษาผิวพรรณ  เทศกาลโคลนโพเรียงที่จะครบปีที่ 7 ในปี 2004 นี้นักท่องเที่ยวจะได้รับความสนุกสนานจากการนวดโคลน การเพ้นท์ร่างกายด้วยโคลนและอื่นๆอีก การเล่นสไลเดอร์บนโคลน การเล่นถังโคลนยักษ์ และโปรแกรมที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและการแข่งขันต่างๆ รวมทั้งของรางวัลต่างๆมากมาย
                เทศกาลเครื่องวัฒนธรรมศิลาดลคังจิน (Gangjin Celadon Cultural Festival)  ที่คังจินมีเตาเผาทั้งหมด 188 แห่งซึ่งสนับสนุนมรดกของเกาหลีเครื่องปั้นโคเรียวและทั้งคุณภาพและปริมาณของเครื่องปั้นดินเผาโคเรียวในภูมิภาคนี้ก็ไม่เคยมีใครเกินเทศกาลเครื่องปั้นดินเผาทางวัฒนธรรมคังจินนี้จัดขึ้นบริเวณเตาเผาเก่าในทุกกรกฎาคม มีการแสดงประวัติศาสตร์ยาวนาน 500 ปีของเครื่องปั้นดินเผาโคเรียว จากในยุคต้นๆในช่วงศตวรรษที่ 9 ไปถึงยุคเสื่อมในศตวรรษที่ 14 จนถึงยุคปัจจุบัน ด้วยไม้ที่ใช้ทำฟืนและดินขาวที่มีอยู่เหลือเฟือที่ภูมิภาคนี้ทำให้เป็นผู้ผลิตเครื่องปั้นดินเผาที่งดงามที่สุดในโลก ด้วยความได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์คังจินยังเป็นภูมิภาคที่เป็นสถานีการค้าสำคัญในการค้าขายเครื่องปั้นต่างๆกับจีนในยุคโบราณเตาเผาที่แทกู-เมียน (Daegu-myeon) แสดงแบบจำลองชั้นเลิศของเครื่องปั้นคังจินแบบโบราณ ผู้มาเยือนจะได้โอกาสในการปั้นด้วยตนเองและจะได้รับความบันเทิงจากการแสดงศิลปพื้นบ้านมากมายและอาหารท้องถิ่นรสเลิศ สถานที่น่าสนใจบริเวณใกล้เคียงคือพิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผา ดาซานโชดัง (Dasan Chodang) ซึ่งปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่นาม จอง ยัค-ยง (Jeong Yak-yong) (ปี 1762 - 1836) ซึ่งถูกเนรเทศเป็นเวลา 10 ปี (1808-1818) ได้สั่งสอนลูกศิษย์และเขียนหนังสือ และวัดแบงยอนซา (Baengnyeonsa Temple) ซึ่งมีชื่อเสียงด้วยต้นคามีเลียขนาดใหญ่จำนวนมากที่เจริญเติบโตรอบๆวัด           
                เทศกาลวิทยาศาตร์แทจอน (Daejon Science Festival)  เริ่มขึ้นในปี 2000 เทศกาลวิทยาศาสตร์แทจอนเป็นงานแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่จัดให้แก่สาธารณชนในเกาหลี แทจอนถูกยกให้เป็นเมืองแห่งอนาคตของวิทยาศาสตร์ ล้อมรอบด้วยสถาบันพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งเกาหลี (KAIST) และหุบผาแททอกซึ่งทั้งสองแห่งนั้นเต็มไปด้วยนักวิทยาศาสตร์และนักเทคโนโลยีจำนวนมาก และอุทยานเอ็กซ์โปแทจอนซึ่งเป็นอุทยานเอ็กซ์โปที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี ผู้มาเยือนจะได้รับโอกาสในการสัมผัสกับเทคโนโลยีล้ำยุคและวิทยาศาสตร์ที่กำลังจะเกิดขึ้นผ่านทางนิทรรศาการการแลกเปลี่ยนทางวิทยาศาสตร์นานาชาติซึ่งมุ่งหวังที่จะกระตุ้นให้เกิดความรวดเร็วในการแลกเปลี่ยนสารสนเทศไฮเทคและวิทยาศาสตร์ในบรรดาประเทศพัฒนาแล้ว ไซแอนซ์ เมจิก โชว์ ซึ่งแสดงปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์และการแสดงอื่นๆ  นอกจาก KAIST แล้ว สถาบันวิจัยอื่นๆในผาแททอก เช่น สถาบันทรัพยากรแห่งเกาหลี สถาบันวิจัยพลังงานอะตอมแห่งเกาหลี สถาบันวิจัยอวกาศและการบินยังเปิดให้ผู้มาเยือนในรายการทัวร์ทางวิทยาศาสตร์ นักท่องเที่ยวจะได้รับความเพลิดเพลินจากโชว์น้ำพุยามค่ำคืนที่เริ่มด้วยการเล่นดอกไม้ไฟอันน่าตื่นตาที่จัตุรัสฮันวิท (Hanvit Square) ในอุทยาน               
                เทศกาลหิ่งห้อยมูจู (Muju Firefly Festival)  เทศกาลหิ่งห้อยมูจูจัดขึ้นทุกปีที่มูจู จังหวัดชลลาบุก-โด หิ่งห้อย (อนุสาวรีย์แห่งธรรมชาติ 322) เป็นแมลงที่สร้างแสงจากอวัยวะเรืองแสงพิเศษในตัวจะเป็นที่รู้กันว่าจะอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมลพิษเท่านั้น ทุกวันนี้หิ่งห้อยลดจำนวนลงไปเนื่องจากสภาวะแวดล้อมที่ทรุดโทรมลง เทศกาลหิ่งห้อยดึงดูดจำนวนนักท่องเที่ยวผู้รักธรรมชาติเพิ่มขึ้นทั้งจากในและต่างประเทศ เทศกาลกินเวลานาน 9 วันนับตั้งแต่พิธีเปิดและงานเต้นรำสวมหน้ากากและโปรแกรมอื่นๆที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน งานแสดงจำนวนหนึ่งในนี้ที่น่าสนใจคืองาน บัง-อัตกอรินอริ (การแสดงพื้นบ้านบนท้องถนนแบบโบราณ) การแข่งขันศิลปสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เกมการละเล่นพื้นบ้าน การพิมพ์หิ่งห้อยบนมือ นิทรรศการภาพถ่ายหิ่งห้อยตามระบบนิเวศน์ การไล่ล่าหิ่งห้อยที่จับยาก ชั้นเรียนวิทยาศาสตร์ทางธรรมชาติ และอื่นๆ โปรแกรมการท่องเที่ยวไปยังสถานที่น่าสนใจใกล้เคียงอาทิ ภูเขาด็อกยูซาน (Deogyusan Mountain) ผามูจู กูชอนดอง (Muju Gucheondong Valley) ภูเขาช็อกซางซัน (Jeoksangsan Mountain) และผาชีเรียน (Chiryeon Valley) สามารถทำได้โดยการบริการรถชัตเติลบัส
               
ฤดูใบไม้ร่วง
                 เทศกาลโสมคึมซาน (Geumsan Ginseng Festival)  จุมซานในจังหวัดชุมชองนัม-โดมีตลาดโสมที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ซึ่งส่งโสมเป็นอัตราร้อยละ 80 ของความต้องการในประเทศ สถานที่จัดเทศกาลคือโถงจัดนิทรรศการโสมในคึมซาน-อึบ (Geumsan-eup) มีร้านประมาณ 980 ร้านในตลาดที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์โสมนานาชนิดที่มีคุณภาพสูงสุดทั้งในรูปของโสมสด รากแห้ง เหง้า โสมสกัดและชาโสม รากโสมแผ่น โสมบดหรือรากโสมแช่น้ำผึ้ง โสมแดงอบ รวมถึงผลิตภัณฑ์โสมอื่นๆในรูปของชา แคปซูล การผสมกับตัวยาสมุนไพรอื่นๆ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ การแสดงสำคัญคือนิทรรศการโสมนานาชาติ การแข่งขันปรุงโสมและสมุนไพร ทริปการเก็บเกี่ยวโสม การทำโสมขวดที่ระลึกและการทำตุ๊กตาโสม การสาธิตการผลิตโสมที่ได้อายุ การแสดงพื้นบ้านของคึมซานและอื่นๆ  โถงจัดนิทรรศการโสมเป็นสถานที่ที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีซึ่งมีการนำเสนอในแบบมัลติมีเดียถึงขั้นตอนการเจริญเติบโตและสรรพคุณของโสมเทศกาลโสมคึมซาน
                เทศกาลซกวิโพ ชิลซิมนี (Seogwipo Chilsimni Festival)  เทศกาลซกวิโพชิลซิมนีเป็นเทศกาลซึ่งผสมผสานวัฒนธรรมพื้นบ้านเชจูเข้ากับศิลปะด้วยวัฒนธรรมทางทะเล เป็นเทศกาลที่ให้ความรู้คลุมครอบแก่ผู้คนในการได้รับประสบการณ์จากชีวิตความเป็นอยู่และวัฒนธรรมที่สวยงามเป็นลักษณะเฉพาะของเกาะ เทศกาลซกวิโพ ชิลซิมนีนำเสนอศิลปะที่หลากหลายและโปรแกรมทางวัฒนธรรม การเดินพาเหรดซกวิโพ ชิลซิมนีอันมีชื่อเสียง รวมถึงประสบการณ์ต่างๆ เทศกาลนี้เป็นเทศกาลที่เปิดโอกาสให้มีผู้ร่วมจัดไม่เพียงแต่ผู้จัดงานเทศกาลเท่านั้นแต่ทั้งชาวเชชูและนักท่องเที่ยวสามารถเข้าร่วมและได้รับความรื่นรมย์จากโปรแกรมอันหลากหลาย เป็นเทศกาลที่ได้แสดงพลังขับเคลื่อนเพื่อให้คนท้องถิ่นได้มีความสมัครสมานและตระหนักถึงศักยภาพของตนและช่วยให้ชุมชนได้มีการพัฒนาต่อเนื่องขึ้นไป  การแสดงสำคัญรวมถึงการเดินพาเหรดชิลซิมนีไปตามท้องถนน การแสดงการยอมแพ้ของนายพลชอย ยอง (Choi Yeong) ต่อกองทัพมอคโฮ (Mokho) การแสดงพื้นบ้านเชจู การวิ่งมาราธอนชิลซิมนี และอื่นๆ
เทศกาลระบำหน้ากากนานาชาติอันดอง (Andong International Mask Dance Festival)  หมู่บ้านฮาโฮในอันดองจังหวัด เคียงซางบุก-โด เป็นที่สนใจของชาวโลกในปี 1999 เมื่อสมเด็จพระราชินีควีนอลิซาเบธที่ 2 ได้มาเยือนที่นี่ ชาวหมู่บ้านฮาโฮได้ดำเนินชีวิตแบบดั้งเดิมในบ้านที่สร้างตามแบบศตวรรษที่ 18 และ 19 อย่างเห็นได้ชัด พวกเขายังคงรักษาระบำหน้ากากฮาโฮอันเป็นการแสดงพื้นบ้านที่ยังคงดำรงอยู่มาหลายร้อยปี การแสดงระบำหน้ากากฮาโฮถูกยกให้เป็นสมบัติของชาติลำดับที่ 121 หน้ากากแบบโบราณของเกาหลีทั้งหมดที่ใช้ในการแสดงละครหน้ากากนั้นทำจากกระดาษ แต่ของฮาโฮนั้นทำจากไม้ เทศกาลระบำหน้ากากนานาชาติอันดองจัดขึ้นริมแม่น้ำในหมู่บ้านมีการแสดงระบำหน้ากากฮาโฮเป็นจุดเด่นรวมถึงระบำหน้ากากของเกาหลีและของต่างประเทศและละคร โปรแกรมสำหรับผู้มาเยือนรวมถึงชั้นเรียนการระบำหน้ากาก นิทรรศการหน้ากากทั้งเก่าและใหม่จากทั่วโลก การแสดงหุ่นเชิดและการแสดงศิลปะอื่นๆ ฮาโฮเบียวซินกุต ทัลลอรี Hahoe Byeolsingut Tallori): ละครรำหน้าการนักบวชซึ่งได้มีการเล่นมากว่า 500 ปีในหมู่บ้านฮาโฮ ซึ่งสวดขอพรเทวดาผู้พิทักษ์ให้มีสุขภาพดีและสันติสุขในชุมชน เพิ่มเติมสีสันด้วยคำถากถางอันเผ็ดร้อนต่อบรรดาชนชั้นสูงที่ทุจริตและพระที่กระทำผิดหรือพระที่ฟุ่มเฟือย                          
เทศกาลดนตรีพื้นบ้านเกาหลี นันเก (Nangye Traditional Korean Music Festival)  เทศกาลนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกถึงปาร์ค ยอน (Park Yeon) (นามปากกาของท่านคือ "นันเก" (Nangye)) หนึ่งในสามของนักดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เกาหลี ท่านมีชีวิตอยู่ในช่วงต้นๆของราชวงศ์โชซอนและส่งเสริมและพัฒนาการดนตรีแบบโบราณของเกาหลี หลายคนยกย่องท่านว่าเป็นบิดาของคีตวิทยาแห่งเกาหลี ในฐานะที่เป็นนักแต่งเพลงที่ยอดเยี่ยมและเป็นผู้มีความสามารถพิเศษเขาได้ทำการปรับเปลี่ยนเพลงที่ได้รับอิทธิพลจากจีน อาทิ ดาง-อัค (dang-ak) และอา-อัค (a-ak) รวมถึงดนตรีพื้นเมืองเกาหลี ฮยาง-อัค (hyang-ak) ระหว่างเทศกาลมีการแสดงจินตลีลาแสดงเรื่องราวแห่งชีวิตท่านและการแสดงการผสมกลมกลืนของดนตรีดั้งเดิมเกาหลีกับดนตรีตะวันตกโดยวงศ์ดุริยางค์ดนตรีดั้งเดิมเกาหลีนางเยที่นางเยฮอลล์ ผู้มาเยือนต้องพยายามได้รับโอกาสในการเล่นเครื่องดนตรีเกาหลีแบบดั้งเดิม มีรายการการแข่งขันดนตรีแห่งชาติและการแข่งขันอ่านบทกลอนโบราณแห่งชาติรวมอยู่ด้วย  อา-อัค: รูปแบบเพลงของเกาหลีที่มีท่วงทำนองช้าซึ่งรับมาจากเพลงจีนในสมัยราชวงศ์ซ่ง เพลงชนิดนี้บรรเลงในพิธีการในราชสำนักและพิธีการบูชาเซ่นไหว้บรรพบุรุษและท่านขงจื๊อในอารามต่างๆ มีเครื่องดนตรีประกอบที่หลากหลายใช้เล่นประกอบกับการเต้นรำ เพลงสมัยราชวงศ์ซ่งถูกถ่ายทอดมายังเกาหลีในสมัยกอร์เยวในปี 1116  ฮยาง-อัค: เป็นเพลงพื้นเมืองในราชสำนักเกาหลีชนิดหนึ่งซึ่งพัฒนาการมาจากยุคสามก๊ก ผ่านมายังราชวงศ์โชซอน  บรรเลงในพิธีการของราชสำนักมีความเป็นมาที่แตกต่างจาก ดาง-อัคซึ่งได้รับมาจากสมัยราชวงศ์ถัง หรืออา-อัค
เทศกาลเห็ดป่าสนยางยาง (Yangyang Pine Mushroom Festival)  เทศกาลเห็ดป่าสนยางยางจัดขึ้นที่ยางยาง, คังวอน-โดในช่วงต้นเดือนตุลาคม ลักษณะทางธรรมชาติที่นี่ได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดีซึ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยเห็ดป่าสนที่ถูกจัดอันดับว่าดีที่สุดในโลกที่ชื่อ ซอง-อี (song-I) ในเทศกาลจะมีการเก็บเห็ดและการปรุงอาหาร ทริปการเดินทางไปตามเนินเขาและการแสดงแบบโบราณ ด้วยที่ว่าเป็นงานพิเศษนักท่องเที่ยวจะได้ลัดเลาไปตามป่าเขาเพื่อเก็บเห็ดอันมีค่าซึ่งพวกเขาอาจหาซื้อได้ในราคาลดพิเศษ (เป็นที่นิยมในบรรดาผู้รักเห็ดมัตสุตาเกะของญี่ปุ่น) มีการเก็บค่าธรรมเนียมในการเข้าไปเก็บเห็ด อาหารทำจากเห็ดป่าสนท้องถิ่นมีให้บริการเป็นบางครั้ง  ซอง-อี เห็ดป่าสน: อุดมด้วยโปรตีนและวิตามินบีรวม เห็ดป่าสนมีสรรพคุณในการป้องกันความดันโลหิตสูง โรคภาวะเส้นโลหิตหนาและโรคหัวใจและคุณสมบัติต้านมะเร็ง เห็ดชนิดนี้ขึ้นเฉพาะในป่าสนแดงเพียงบริเวณจากแทแบ็กซานและเทือกเขาโซแบ็กซานและซอง-อีจากยางยางได้รับการพิจารณาว่าดีที่สุดในเอเชีย                        
เทศกาล พูซาน ชากัลชิ (Busan Jagalchi Festival)   พูซานเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเกาหลีที่เจริญรุ่งเรืองด้วยทรัยากรทางทะเลอันอุดมสมบูรณ์ ถูกต้องตามสภาพลมฟ้าอากาศแบบมหาสมุทรและทัศนียภาพอันสวยงามทั่วไปตามชายฝั่งและท่าเรือ ตลาดปลาชากัลชิในพูซานเป็นตลาดปลาที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีซึ่งอำนวยประโยชน์และเป็นแหล่งจัดส่งผลิตภัณฑ์จากทะเลนับเป็นตันๆในแต่ละวัน  เทศกาลพูซาน ชากัลชิ จัดขึ้นทุกปีที่ตลาดและถนนกวางบองโนและเขตนัมโป-ดอง นำเสนอการแสองซึ่งมีเป้าหมายอยู่ที่การแนะนำประเพณีของชาวประมงและผลิตภัณฑ์จากทะเลแก่ผู้คนจากหลายหลากสถานที่ ไฮไลท์ของงานรื่นเริงในตอนเย็นคือพิธีบูชาสงฆ์ของชาวประมง (เรียกว่ายองวังกุท Yong-wanggut) ซึ่งเป็นการสวดอ้วนวอนต่อราชามังกรแห่งท้องทะเลขอให้คุ้มครองพวกเขาให้ปลอดภัยในการเดินเรือและจับปลาได้มากๆ ผู้สวดจะเอ่ยคำว่า โกซา (Gosa) เพื่อความเป็นสิริมงคลและปัดเป่าภัยชั่วร้าย และการแสดงของวงดนตรีเครื่องเคาะจังหวะ (ปุงมุลโลริ) (pungmullori)อันซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้อิสระในการร่วมแสดงช่วงเวลาแห่งความตื่นเต้นด้วยกัน ปุงมุลหมายถึงเครื่องเคาะจังหวะที่ปกติจะเล่นโดยชาวประมงในโอกาสเทศกาล  งานต่างๆที่ตลาดคือการสาธิตการลอกหนังปลาไหลและการแล่เนื้อปลาของแม่ค้าปลา การจัดปลาในถังด้วยมือเปล่าเป็นโปรแกรมที่ให้ทุกคนได้เข้าร่วมยกเว้นการแข่งขันทำอาหารเกาหลีซึ่งมีไว้สำหรับชาวต่างชาติเท่านั้น นอกนั้นยังมีการแข่งขันทำครัวด้วยเนื้อปลาสำหรับพ่อครัวใหญ่และการแข่งขันเรียกชื่อปลา (เพื่อทดสอบความรู้ด้าน โฮ หรือปลาสด) มีอาหารทะเลขายในราคาพิเศษระหว่างเทศกาล ที่นี่คือสถานที่ที่ผู้ชื่นชอบอาหารทะเลจะได้เลือกปลาสดคุณภาพดีที่สะพานปลาและในถังปลาด้วยตนเอง  ยอง-วังกุท : เป็นพิธีกรรมของนักบวชของชาวประมงต่อราชามังกรแห่งท้องทะเล มีการปฏิบัติกันมาแต่โบราณกาลเพื่อให้มีความปลอดภัยในการเดินทาง ลากอวนได้ครั้งละมากๆ และชีวิตที่ดีในชุมชน                               
เทศกาลศิลปการต่อสู้แห่งโลก ชุงจู (Chungju World Martial Arts Festival)  เทศกาลศิลปะการต่อสู้แห่งโลก ชุงจูเริ่มต้นพร้อมกันที่ชุงจูยิมเนเซี่ยมและสถานที่ต่างๆในชุงจู, จังหวัดชุงชองบุก-โด การแสดงที่สำคัญๆ อาทิ การสาธิตศิลปะการต่อสู้และ "ประสบการณ์แห่งศิลปะการต่อสู้" ที่จัตุรัสชุงจูยิมเนเซี่ยม, และการสาธิต แทคเคียน (Taekkyon) หอมรดกการต่อสู้ แทคเกียน  แทคยอนเป็นการกำเนิดของศิลปการต่อสู้เกาหลีและเทควันโดในปัจจุบัน ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมแห่งชาติ
เทศกาลอาหารทะเลหมักดองคังเคียง (Ganggyeong Salted Seafood Festival)  คังเคียงเป็นท่าเรือในแผ่นดินที่ซึ่งทักษะการถนอมอาหารทะเลด้วยเกลือได้ถูกหล่อหลอมขึ้น ซึ่งโดยปกติจะเก็บได้นานประมาณ 100 วันที่อุณหภูมิ 10- 15 องศาเซลเซียส ขึ้นอยู่กับชนิดของอาหาร  สิ่งที่โดดเด่นในเทศกาลคือประวัติความเป็นมาของอาหารหลักของเกาหลีชนิดนี้ และรวมถึงประสบการณ์ที่น่าสนใจของผู้มาเยือน และช่วงทำอาหารด้วยตนเอง และอาหารทะเลแห้งที่ดีที่สุดในเกาหลีที่จำหน่ายในราคาประหยัด มีการแสดงสำคัญๆต่างๆอาทิ การทำกิมจิกับอาหารแห้ง นิทรรศการภาพถ่าย นิทรรศการอาหารแห้ง และอื่นๆ
เทศกาล ขอบฟ้ากิมเจ (Gimje Horizon Festival)  ตั้งอยู่ ณ ที่ราบอันกว้างใหญ่บริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดชลลาบุก-โด กิมเจถูกกล่าวขานว่าเป็นยุ้งฉางแห่งประเทศเกาหลี ณ ผืนดินที่มีธัญญาหารเหลือเฟือนี้มีเขื่อนชลประทานบยอคกอลเจ ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยอาณาจักรแพ็กเจ (18 ปีก่อน ค.ศ. - ค.ศ. 660) ศูนย์แสดงนิทรรศการการชลประทานบยอคกอลเจ จัดแสดงมรดกตกทอดของประวัติศาสตร์แห่งการกสิกรรมของเกาหลีและการชลประทาน เทศกาลขอบฟ้ากิมเจให้ผู้มาเยือนได้รับโอกาสซึ่งหาได้ยากในการลงแขกเกี่ยวข้าวในบริเวณรอบๆ เขื่อนชลประทานบยอคกอลเจ  โปรแกรมที่สำคัญๆรวมถึงโปรแกรมหนึ่งวันในหมู่บ้านชาวนา การแข่งขันการปรุงอาหาร ทัวร์ทุ่งนาบนเกวียนเทียมและการทำหุ่นไล่กา การละเล่นอื่นๆที่รวมอยู่ด้วยอาทิ เช่น การแข่งชักกะเย่อ การแสดงดนตรีของช่างผู้เชี่ยวชาญทรัพย์สินทางวัฒนธรรม และการแสดงพื้นบ้านอันเปี่ยมด้วยไมตรีจิต การแสดงสำคัญอื่นๆที่สะท้อนวัฒนธรรมการปลูกข้าวเช่น ปัญจกรีทา การแข่งขันมวยปล้ำ ซีรึม (Ssireum) และการแสดงการก่อกองฟางกลางแจ้ง ในบริเวณใกล้เคียงยังมีวัดคึมซานซา (Geumsansa) ซึ่งอายุ 1,400 ปีตั้งอยู่ วัดแห่งนี้มีชื่อเสียงว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธไมตรียา วัดมังแฮซา (Manghaesa Temple) ที่ดูน่าพรั่นพรึงตอนอาทิตย์อัสดงบนฝั่งทะเลเหลืองและท่าเรือซิมโป (Simpo Port) ซึ่งมีภัตตาคารปลาทอดตัวไปตามฝั่ง
เทศกาลกิมจิควางจู (Gwangju Kimchi Festival)  กิมจิเป็นอาหารที่ขาดไม่ได้ในทุกๆมื้อของชาวเกาหลี กิมจิมีชื่อเสียงไปทั่วโลกและไม่มีใครที่นึกถึงชาวเกาหลีโดยไม่นึกถึงกิมจิ รสชาดของมันต่างกันออกไปตามภูมิภาคหรือประเพณีการทำของแต่ละบ้านขึ้นอยู่กับความหลายหลากของวัตถุดิบที่ใช้และเครื่องปรุง จากบรรดากิมจิที่มีอยู่หลากหลายนั้น โดยเฉพาะของเขตโฮนัม (Honam) (ในจังหวัด ชลลาบุก-โดและชลลานัม-โด) ถูกมองว่าเป็นกิมจิรสชาดดีที่สุด เทศกาลกิมจิควางจู ที่พิธภัณฑ์ชุมชนพื้นบ้านควางจู จะแสดงกิมจิที่มีประมาณ 130 สูตรปรุงโดยมืออาชีพทั่วเกาหลี ผู้มาเยือนจะได้ดูขั้นตอนการทำกิมจิ หรือมีส่วนในการทำ พิพิธภัณฑ์ยังมีนิทรรศการสิ่งของเกี่ยวกับกิมจิอีกด้วยเช่นบรรจุภัณฑ์ต่างๆที่ใช้บรรจุกิมจิ  เครื่องปรุงรสต่างๆ ปลาดอง และอาหารทะเลอื่นๆ (เรียกว่า ช๊ทกัล (Jeotgal) หนึ่งในส่วนประกอบหลัก) อาหารที่ใช้กิมจิในการปรุง และการอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ต่างๆ จะบรรยายสรรพคุณต่อสุขภาพของกิมจิ การเข้าร่วมในการปรุงอาหารและการทำกิมจิจะเป็นประสบการณ์ที่มิอาจลืมเลือน
เทศกาลข้าวใหม่อีชอน (Icheon New Rice Festival)  เทศกาลข้าวใหม่อีชอนเป็นเทศกาลที่เปลี่ยนแปลงเป็นเทศกาลท่องเที่ยวแห่งชาติซึ่งใช้ชื่อต่างๆ เช่นข้าวซึ่งเป็นสัญลักษณ์อีชอนและฤดูเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงซึ่งเป็นไฮไลท์ของวัฒนธรรมการแห่งการเกษตร ระหว่างเทศกาลชาวนาที่ทำงานในทุ่งนาข้าวและชาวเมืองที่ทิ้งชีวิตคนเมืองเพื่อการพักผ่อนจะรวมตัวกันเพื่อจัดงานฉลองการเก็บเกี่ยวที่ได้ผล  เทศกาลมีการแสดงในส่วน มาดัง อันหลากหลาย เป็นช่วงเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงที่ผู้คนจะหว่านและเก็บเกี่ยวผลิตผลกัน  ในส่วนของตลาดกลางแจ้งชนบทเป็นส่วนที่ชาวนาจะขายผลิตผลที่เก็บเกี่ยวได้ ส่วนวัฒนธรรมฟางซึ่งผู้มาเยือนจะได้รับประสบการณ์ในวัฒนธรรมการเกษตรในชนบท ส่วนวัฒนธรรมข้าวซึ่งแสดงทุกสิ่งเกี่ยวกับข้าว และส่วนการละเล่นภาคสนามเรียกว่า เกียบังนอรี (geobungnori) ( การแสดงหมู่ที่แสดงถึงเต่าตัวหนึ่งอันเป็นจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์แห่งอิชอน) และปุงมุลลอริ (เพลงชาวนาโบราณ) การแสดงที่สำคัญรวมถึงการทำหัตถกรรมด้วยฟาง การทำอินชอลมิ (injeolmi) (ขนมข้าวเหนียว) การตำข้าว กังกัง ซุโวลแล (ganggang suwollae) (การเต้นรำเป็นวงกลม) ซามุลลอริ (samullori) (วงควอเต็ตเครื่องเคาะจังหวะพื้นบ้าน) การเล่นว่าว การทำรองเท้าฟาง การแข่งขันพื้นบ้าน การแข่งขันปรุงอาหารจากข้าว และอื่นๆ
เทศกาลโคม ชินจู นัมกัง (Jinju Namgang Lantern Festival)  ประเพณีการลอยโคมในแม่น้ำนัมกังในชินจูย้อนวันเวลาไปยังการรุกรานเกาหลีโดยญี่ปุ่นใน 1592 ในเดือนตุลาคมปี 1592 ช่วงระหว่างสงครามระหว่างเกาหลีกับญี่ปุ่นรอบๆ ป้อมชินจูซองนั้นชาวชินจูได้ปล่อยโคมขึ้นบนท้องฟ้าเหมือนกับเป็นสัญญาณทางทหารและเครื่องมือในการสื่อสารกับทหารภายนอกป้อมในขณะที่โคมลอยก็ได้จุดไปตามแม่น้ำนัมกัง เทศกาลโคมชินจู นัมกัง ได้จัดขึ้นตั้งแต่ปี 2000 โดยขยายและพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากประเพณีการลอยโคมซึ่งปฏิบัติมาทุกปีตั้งแต่ปี 1949 ผู้มาเยือนจะได้ชมการแสดงต่างๆอันหลากหลาย อาทิ โคมอธิษฐานรูปเฉลียงชกซองนู (Chokseongnu Pavilion-shaped wishing lanterns) เทศกาลโคมโลก และดอกไม้ไฟริมฝั่งน้ำเป็นการแสดงรายวันในเทศกาล การแสดงที่สำคัญรวมถึงนิทรรศการโคมโลก การแขนโคมอธิษฐาน การลอยโคม การประดิษฐ์โคม การจุดดอกไม้ไฟริมฝั่งน้ำ การปล่อยโคมและอื่นๆ
เทศกาลโสมปุงกี (Punggi Ginseng Festival)  จากการอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ ซัมฮุคซากิ (Samhuksagi) จดหมายเหตุแห่งสามก๊ก รากโสมจำนวน 200 รากได้ถูกผลิตขึ้นในบริเวณปุงกีเพื่อถวายให้แก่จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังของจีนในปี 734 จู เซ-บุง (Ju Se-bung)  ปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงแห่งราชวงศ์โชซอนได้รับมอบหมายให้สำรวจสภาพอากาศและดินที่เหมาะสมทั่วประเทศเพื่อปลูกโสมป่า ในปี 1541 เมื่อจู เซ-บุงได้รับตำแหน่งผู้ว่าเมืองปุงกี เขาพบว่าพื้นที่เขตปุงกีเป็นสถานที่ในอุดมคติและเริ่มการเพาะปลูก  ตั้งแต่นั้นมาปุงกีได้รับชื่อเสียงว่าเป็นต้นกำเนิดการปลูกโสมและราชนิกูลของราชวงศ์โชซอนก็ชื่นชอบโสมของปุงกี โสมของปุงกีมีเนื้อกรอบและมีรสร้อนแรงและมีสารบำรุงสุขภาพซาโปนินสูงที่เทศกาลโสมปุงกี ผู้มาเยือนจะมีส่วนในการสวดภาวนาเพื่อการเพาะปลูกโสมให้ได้ผลดี การแข่งขันประกวดโสมที่ดีที่สุดในประเทศ การประกวดการปรุงโสม การแสดงการอวยพร และการปลูกโสม มีโสมจำหน่ายในราคาลดพิเศษ สถานที่ใกล้เคียงที่นี่คือ โซซู โซวอน  (Sosu Seowon) สถาบันการศึกษาที่รัฐให้การอนุเคราะห์แห่งแรกในยุคโชซอนและวัดพูซกซา (Buseoksa Temple) วัดที่เก่าแก่ที่สุดของลัทธิ Avatamska ในเกาหลี
เทศกาลภาพยนต์นานาชาติที่พูซาน (PIFF) (Pusan International Film Festival)  ตั้งแต่การเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 1996 มานั้นเทศกาลภาพยนต์นานาชาติที่พูซาน (PIFF) ก็ได้จัดขึ้นทุกปีซึ่งให้โอกาสแก่บรรดาคอหนังในการเข้าร่วมชมภาพยนต์นานาชาติที่มีชื่อในด้านต่างๆ ถึงแม้ว่าจะเพิ่งจัดขึ้นไม่นาน ทว่าเทศกาลนี้ได้กลับกลายเป็นหนึ่งในเทศกาลภาพยนต์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในเอเชีย ซึ่งคับคั่งไปด้วยผู้สร้างหนัง นักแสดง นักวิจารณ์ แฟนหนัง และผู้ชมจำนวนมาก โดยที่เทศกาลภาพยนต์นี้จะเน้นหนักไปในด้านภาพยนต์จากเอเชียแต่ก็มีภาพยนต์จากทั่วโลกรวมทั้งจากทางอเมริกาเหนือและยุโรปฉายด้วย ทำให้บรรดาคอหนังได้รับมุมมองโดยรวมของกระแส  มีการฉายภาพยนต์ในโรงภาพยนต์จำนวนมากที่ถนนนัมโป-ดอง (Nampo-dong) ที่หอภาพยนต์ในมิลลัก-ดอง (Millak-dong) และภาพยนต์จอยักษ์กลางแจ้งที่ซูยองมันเบย์ (Suyeongman Bay)   เทศกาลหนังจินตนาการนานาชาติพูชอน (PiFan) (Puchon International Fantastic Film Festival ) PiFan เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นสำหรับภาพยนต์ที่ไม่อยู่ในกระแสการผลิต เป็นทางเลือกหนึ่งของภาพยนต์เชิงพาณิชย์ภาพยนต์ซึ่งเกี่ยวกับจินตนาการและโลกแห่งอนาคตได้เป็นส่วนสำคัญของงานในทุกๆปี PiFan ได้เป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่จะแนะนำภาพยนต์แนวแฟนตาซีจากนานาชาติให้แก่คอหนังชาวเกาหลี รวมทั้งเป็นสื่อในการแนะนำหนังเกาหลีแก่นักวิจารณ์ต่างประเทศ เทศกาลยังได้มีการส่งเสริมการผลิตภาพยนต์แนวแฟนตาซีในเกาหลีและช่วยในการจัดจำหน่ายในต่างประเทศ
แหล่งข้อมูล http://www.hotsia.com/korea-info/korea_events.shtml                             





อาหารประจำชาติเกาหลี

 กิมจิ  (김치) มีข้อสันนิษฐานกันว่าน่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า ชิมเช (침채) ฮันจา (沈菜) ที่แปลว่าผักดองเค็ม กิมจิเป็นอาหารเกาหลีประเภทผักดองที่อาศัยภูมิปัญญาก้นครัวของชาวเกาหลี ด้วย การหมักพริกสีแดงและผักต่างๆ โดยทั่วไปจะเป็นผักกาดขาว ชาวเกาหลีนิยมรับประทานกิมจิเกือบทุกมื้อ และยังนำไปปรุงเป็นส่วนประกอบอาหารอีกหลายอย่าง เช่น ข้าวต้ม ข้าวสวย ซุป ข้าวผัด สตู บะหมี่ จนถึงพิซซาและเบอร์เกอร์ ปัจจุบันกิมจิมีมากกว่า 187 ชนิด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมีรสเผ็ด เปรี้ยว และมีกลิ่นฉุน แม้ปัจจุบันมีบริษัทอาหารผลิตกิมจิสำเร็จรูปหรือแบบสดขายตามห้างสรรพสินค้าก็ตาม แต่ ชาวเกาหลีก็ยังนิยมทำกิมจิกินเองที่บ้าน

ฤดูกิมจิ
ฤดูใบไม้ผลิ นิยมรับประทาน กิมจิน้ำ และ กิมจิผักกาดขาว


ฤดูร้อน นิยมรับประทาน กิมจิแตงกวาสอดไส้ และ กิมจิยอดหัวไช้เท้าอ่อน

ฤดูใบไม้ร่วง จะนิยมรับประทานกิมจิหัวกะหล่ำ และ กิมจิอัลตาริ
 ฤดูหนาว จะนิยมรับประทานหลากหลายชนิด ซึ่งจะเก็บกักตุนไว้เรียกว่า กิมจัง



"กิมจิ" เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับชาวเกาหลี  ดังนั้นเวลามีการเดินทางในต่างแดน ก็ไม่ลืมที่จะพกกิมจิติดตัวไปด้วย "กิมจิ" จึงได้เริ่มแพร่หลายในวงกว้าง โดยช่วงแรกเริ่มเข้าไปในประเทศใกล้เคียงก่อน  คือ ประเทศจีน รัสเซีย รัฐฮาวาย และญี่ปุ่น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศญี่ปุ่น ถือได้ว่าเป็นชาติแรกที่นำกิมจิเป็นเครื่องเคียงในอาหารของชาติตนเอง โดยเรียกกิมจิของตนเองว่า คิมุชิ (Kimuchi) เพื่อให้เข้ากับการออกเสียงในภาษาญี่ปุ่นและกิมจิชนิดนี้ มีการเปลี่ยนแปลงรสชาติให้เข้ากับอาหารญี่ปุ่นมากขึ้นต่อมากิมจิ จึงเป็นที่นิยมขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่ชาวต่างชาติในหลายประเทศ เช่นสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และไทย "กิมจิ" มีสัญลักษณ์

ตัวสัญลักษณ์ "กิมจิ" สร้างขึ้นโดย..องค์กรการค้าเกษตรกรรมและการประมงเกาหลี (Korea Agro-Fisheries Trade Corporation) เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2543 เพื่อส่งเสริมกิมจิแท้ จากประเทศเกาหลีและสร้างความแตกต่างระหว่างกิมจิเกาหลี และกิมจิญี่ปุ่น (Kimuchi) ให้ชัดเจนขึ้น  ตัวสัญลักษณ์กิมจินี้ พบได้เฉพาะกิมจิแท้ของประเทศเกาหลี  ซึ่งต้องทำ และผลิตจากวัตถุดิบในประเทศเกาหลีเท่านั้น โดยตัวสัญลักษณ์นี้ เป็นเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนในประเทศเกาหลีและอีกหลายเมืองหลายประเทศทั่วโลก ได้แก่ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน ฝรั่งเศส สเปน สหราชอาณาจักร อินโดนีเซีย สหรัฐอเมริกา  สิงคโปร์ เยอรมัน แคนาดา นิวซีแลนด์ ฮอลแลนด์ เปรู และประเทศไทย
แหล่งข้อมูล  http://love55010910103.blogspot.com/2012/09/blog-post_13.html


ลักษณะที่อยู่อาศัย


คนเกาหลีส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนในเมืองใหญ่นิยมอาศัยในอาคารสูงมากกว่าบ้านเดี่ยว สาเหตุเพราะสะดวกสบายกว่า มีสาธารณูปโภคครบครัน อยู่ใกล้สถานีรถไฟใต้ดินและขนส่งมวลชน ใกล้ร้านค้า ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต โรงเรียนของลูกๆ ฯลฯ
ราคาที่พักที่เกาหลีค่อนข้างแพง คนส่วนใหญ่จึงใช้นิยมเช่ามากกว่า การซื้อและการเช่าบ้านที่เกาหลีจะผ่านบริษัทตัวแทนที่เรียกว่า พูทงซัน (부동산) ซึ่งตั้งอยู่ทั่วๆไปในแต่ละย่าน หน่วยวัดพื้นที่ของเกาหลีแต่ดั้งเดิมเรียกว่า พยอง () 1 พยอง เท่ากับ 3.3 m² แม้ว่ากฏหมายใหม่จะกำหนดว่าในการพิมพ์เป็นลายลักษณ์อักษรให้ใช้หน่วยวัดสากลเป็นตารางเมตร แต่ในทางปฏิบัติก็ยังใช้พยองเป็นหลัก


ประเภทของที่พักที่เกาหลี
1. บ้านเป็นหลัง (주택 ชูแทก) นอกจากเหตุผลเรื่องความสะดวกแล้วที่ดินที่เกาหลีค่อนข้างแพง ดังนั้นจึงไม่นิยมที่พักเป็นลักษณะบ้าน คนเกาหลีส่วนใหญ่กว่าจะมีบ้านที่มีบริเวณได้ต้องทำงานเก็บเงินจนถึงใกล้วัยเกษียณกันเลยทีเดียว คนเกาหลีส่วนหนึ่งเมื่อแก่ตัวลง ถ้าเป็นไปได้หาจะซื้อบ้านที่มีพื้นที่เพื่อปลูกผักสวนครัวและอยู่กับธรรมชาติในบั้นปลายของชีวิต



2. Apartment (아파트 อาพาทือ) คนเกาหลีโดยเฉพาะคนที่มีครอบครัวมักอาศัยอยู่ใน apartment ซึ่งคนไทยเรียกว่าคอนโดมิเนียม apartment ที่เกาหลีจะเป็นห้องเปล่าๆ พื้นที่ของอพาร์ตเม้นท์อยู่ที่ 50 -150 m²  โดยส่วนใหญ่ขนาดที่เป็นที่นิยมที่สุดอยู่ที่ 84 m² ราคา (ในโซล) 84 m² ประมาณ 300 – 1,000 ล้านวอน (ประมาณ 9 – 30 ล้านบาท) ขึ้นอยู่กับย่านและความเก่าใหม่ของตึก


3. Officetel (오피스텔 โอพิซือเทล) เป็นคำผสมระหว่างคำว่า office กับ hotel ที่พักแบบ officetel ใช้สำหรับเป็นสำนักงานเล็กๆและหรือเป็นที่พักของคนโสดหรือครอบครัวเล็กๆ officetel กับ อพาร์ตเม้นท์ ต่างก็เป็นอาคารสูงแต่การดีไซน์ของอาคารมักตกแต่งด้วยกระจกและเหล็กเพื่อให้ดูทันสมัย มักจะอยู่ในย่านธุรกิจการค้า ข้อดีของ officetel คือมีเครื่องไฟฟ้าใหญ่ๆเช่นตู้เย็น เครื่องซักผ้ารวมทั้งเฟอร์นิเจอร์ built-in เช่นตู้ติดผนัง ตู้เสื้อผ้าให้ ข้อเสียคือพื้นที่เล็กกว่า apartment (พื้นที่ประมาณ 3057 m²) หากเป็น officetel ที่มีพื้นที่เยอะจะราคาแพงกว่า apartment พอสมควรราคา (ในโซล) 3057 m² ประมาณ 200500 ล้านวอน (ประมาณ 615 ล้านบาท) ขึ้นอยู่กับย่านและความเก่าใหม่ของตึก
ค่าเช่าต่อเดือน



4. Villa (빌라 พิลร่า) เป็นที่พักที่อยู่ในอาคารไม่สูงนัก (ไม่เกิน 5 ชั้น) ส่วนใหญ่จะอยู่ในย่านที่พักอาศัยเนื่องจากไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก ข้อดีคือราคาถูกกว่าในพื้นที่ที่กว้างกว่า ส่วนใหญ่มีพื้นที่ 50 -150 m² แต่ villa แพงๆก็มี ขึ้นอยูกับย่านและความเก่าใหม่  ค่าเช่าต่อดือน 400,000 – 800,000 วอน





5. Studio / One Room (원룸 วอนรูม) ที่พักแบบ one room เป็นแบบเช่าอย่างเดียวไม่มีซื้อขาดแบบที่พักที่กล่าวมาข้างต้น เหมาะสำหรับคนโสดที่ทำงานหรือเป็นนักศึกษาเพราะค่าเช่าไม่แพง แต่ขนาดค่อนข้างเล็ก (16 – 30m²) เป้นห้องเดี่ยวที่มีเตียง โต๊ะทำงาน ครัว และห้องน้ำ (ส่วนใหญ่เครื่องซักผ้าจะอยู่ในห้องน้ำ)  ค่าเช่าต่อดือน 500,000 - 1,500,000 วอน ที่พักในย่านที่มีคนต่างชาติอยู่เยอะเช่น Itaewon, Shinchon, Yongsan ไม่ต้องจ่ายค่ามัดจำก้อนใหญ่ (อาจจะจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าเพียง 1 – 2 เดือน) แลกกับการที่จ่ายค่าเช่ารายเดือนสูงหน่อย




6. Goshiwon (고시원) บางแห่งอาจเรียกว่า 고시텔 (goshitel), 원룸텔 (One room-tel), 원룸리빙텔 (One room-livingtel) เป็นห้องพักแบบประหยัดสำหรับนักศึกษา มักอยู่ในย่านใกล้มหาวิทยาลัย ห้องจะมีขนาดเล็กมากๆประมาณ 5m² มีทั้งแบบมีห้องน้ำและแบบที่ต้องแชร์ห้องน้ำกับผู้อื่น นอกจากเตียงก็มีโต๊ะทำงาน ตู้เสื้อผ้า ตู้เก็บของเล็กๆ อาจมีตูเย็นเล็กๆและโทรทัศน์เล็กๆด้วย ข้อดีคือมีอินเตอร์เนตให้ใช้ฟรี แต่ละห้องจะมีค่าเช่าต่างๆกันไปขึ้นอยู่กับขนาดและลักษณะของห้อง (บางห้องไม่มีหน้าต่าง) ที่พักแบบนี้จะมีห้องครัวและห้องอาหารรวมให้ผู้เช่าทำอาหารทานได้ โดยจะมีข้าวสวย กิมจิและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้ทานฟรีตลอด นอกจากนี้ยังมีเครื่องซักผ้าให้ใช้ร่วมกันด้วย goshiwon ส่วนใหญ่จะอยู่บนอาคารที่ข้างล่างเปิดเป็นร้านค้า ในบางย่านอาจอยู่บนไนต์คลับหรือบาร์  ค่าเช่าต่อเดือน 200,000 - 600,000 วอน



7. Hasukjib / Homestay  (하숙집) อาจมีลักษณะเป็นบ้านหรือไม่ก็เป็นพื้นที่บนอาคารพาณิชย์ hasukjib หรือ homestay สไตล์เกาหลีจะไม่เหมือนกับ homestay อย่างที่เรารู้จักกัน แต่เป็นที่พักเป็นห้องย่อยๆคล้ายกับ goshiwon แต่อาจมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อยหากเป็นห้องสำหรับ 2 คน มีทั้งแบบมีห้องน้ำในตัวและแชร์กับห้องอื่น จุดเด่นคือมีอาจุมมา (คุณป้า) ชาวเกาหลีคอยดูแลทำอาหารมื้อเช้าและเย็นให้ สำหรับนักเรียนต่างชาติหากเลือกที่พักแบบนี้นอกจากจะได้ทานอาหารเกาหลีทุกวันแล้วยังมีโอกาสได้ฝึกภาษากับชาวเกาหลีด้วย  ค่าเช่าต่อดือน 200,000 – 600,000 วอน


8. Dorm (기숙사) เป็นหอพักนักศึกษาในมหาวิทยาลัย มีหลายรูปแบบทั้งแพงและไม่แพง เช็คข้อมูลในเว็บแค่ละมหาวิทยาลัย  ค่าเช่าต่อเดือน ราคาแตกต่างกันไปแต่ละมหาวิทยาลัย ส่วนมากคิดเป็นเทอม

ระบบการเช่า apartment, officetel และ Studio / One Room
1. ชอนเซ (전세) เป็นการเช่า (leasing) ของเกาหลี โดยต้องจ่ายเงินก้อนโตเพียงก้อนเดียวตอนทำสัญญา เมื่อหมดสัญญา (ประมาณ 2-3 ปี) จะได้เงินก้อนคืนทั้งหมด!! ฟังดูแล้วเหมือนเป็นเรื่องดีเหลือเชื่อแต่ทว่าเงินที่ต้องจ่ายตอนทำสัญญานั้นจะเป็นก้อนใหญ่มากคิดเป็นอย่างน้อย 50%-60% หรืออาจมากถึง 100% ของราคาตลาดของที่พักนั้นๆ โดยจ่ายให้กับเจ้าของที่อยู่นั้นๆ คนเกาหลีนิยมการเช่าแบบนี้มากที่สุด ระหว่างอยู่ในที่พักนั้นๆก็ตั้งใจทำงานเก็บเงินเพิ่มเติม เมื่อครบเวลาหมดสัญญาก็จะเงินนำที่หาได้ใหม่รวมกับเงินก้อนที่ได้คืน แล้วย้ายไปทำสัญญาเช่าแบบชอนเซที่ใหม่ซึ่งมีพื้นที่และหรืออยู่ในย่านที่ดีขึ้น (เสมือนเป็นการค่อยๆขยับฐานะทีละนิด) 
จากข่าวนี้ คนเกาหลีในโซลใช้เวลาเฉลี่ย 5 ปี เพื่อทำงานเก็บเงินให้ได้ค่าเช่าแบบชอนเซสำหรับที่พักขนาด 84 ตารางเมตร โดยเฉพาะในเขต Gangnam ยิ่งต้องใช้เวลานานกว่านั้นอีก ตัวอย่างเช่นในเขต Seocho ซึ่งเป็นเขตที่ค่อนข้างแพง ค่าเช่าแบบชอนเซสำหรับที่พักขนาด 84 m² เฉลี่ยอยู่ที่ 377.85 ล้านวอน (ราวๆ 11.36 ล้านบาท) สำหรับพนักงานออฟฟิศทั่วไป (เงินเดือนเฉลี่ย 4.25 ล้านวอน / ครัวเรือน) ต้องใช้เวลากว่า 7 ปี ถึงจะได้อยู่ในที่พักเนื้อที่ประมาณนั้น ในโซลเขตที่ค่าเช่าแบบชอนเซต่ำที่สุดคือเขต Geumcheon อยู่ที่ 171.57 ล้านวอน  (ราวๆ 5.15 ล้านบาท)
2. วอลเซ (월세) สำหรับผู้ที่ไม่มีเงินก้อนโตที่จะจ่ายค่าเช่าแบบชอนเซ วอลเซเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง วอลเซเป็นการเช่าแบบรายเดือนแต่ต้องจ่ายค่ามัดจำแรกเข้า 10% ของราคาตลาดของที่พักนั้นๆ และจ่ายค่าเช่ารายเดือน ค่ามัดจำโดยส่วนใหญ่อยู่ที่ราวๆ 5 50 ล้านวอน (ราวๆ 150,000 1.5 ล้านบาท) อยู่ที่ทำเลและขนาดของที่พัก จะได้ค่ามัดจำเมื่อครบสัญญาแต่ค่าเช่ารายได้ย่อมไม่ได้คืน สำหรับค่าเช่าสำหรับห้องแบบ studio 300,000 - 700,000 วอน (ราวๆ 9,000 21,000 บาท)
แหล่งข้อมูล  http://www.korean4life.com/?p=2901

รายได้และค่าครองชีพในเกาหลี
(การคำนวณยอดเงินบาทใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 วอน เท่ากับ 0.03 บาท)
รายได้ของคนเกาหลี ปัญหาความแตกต่างของรายได้ระหว่างคนรวยกับคนจนในเกาหลีถือเป็นปัญหาใหญ่ทีเดียว ค่าแรงขั้นต่ำที่เกาหลีอยู่ที่ 4,860 วอน / ชั่วโมง หากทำงาน 209 ชั่วโมง / เดือนจะเท่ากับรายได้ 1,015,740 วอน / เดือน หรือราวๆ 30,472 บาท สำหรับพนักงานบริษัทที่จบปริญญาตรีและเพิ่งเข้าทำงานใหม่โดยทั่วไปเงินเดือนเฉลี่ยอยู่ที่ 2,589,000 วอน / เดือน (ประมาณ 77,670 บาท / เดือน) เห็นแบบนี้อาจรู้สึกว่าเยอะแต่ค่าครองชีพที่เกาหลีแพงกว่าไทยราวๆ 3-4 เท่าที่เดียว


มีข้อมูลรายได้ในแต่ละอาชีพมาฝากให้ดูกันเล่นๆ ข้อมูลมาจากรายการ 강용석의 고소한 19 ทางช่อง tvNออกอากาศวันที่ 1 ก.พ. 2013 ข้อมูลทั้งหมดเป็นเดือนขั้นต่ำและหรือเงินเดือนเฉลี่ยในแต่ละอาชีพ
ข้อมูล
กลุ่มอาชีพ / ตำแหน่ง
เงินเดือน (วอน)
เงินเดือน (บาท)
ประธานาธิบดีปาร์คกึนฮเย
16,020,833
480,625
รัฐมนตรี
9,147,500
274,425
ข้าราชการชั้นผู้น้อย
1,970,000
59,100
ข้าราชการ อายุงาน 15 ปี
3,061,000
91,830
ข้าราชการ อายุงาน 20 ปี
3,346,200
100,386
ครูในโรงเรียน
3,550,000
106,500
อาจารย์มหาวิทยาลัย
7,500,000
225,000
นายแพทย์ ร.พ.ที่รักษาทุกโรค (General Hospital)
4,720,000
141,600
นายแพทย์ ร.พ.เฉพาะทาง
15,350,000
460,500
จักษุแพทย์ ร.พ.เอกชน
18,780,000
563,400
แพทย์-ผิวพรรณและศัลยกรรมเสริมความงาม ร.พ.เอกชน
12,070,000
362,100
ทนายความ / ผู้พิพากษา (ชั้นต้น)
3,000,000
90,000
ทนายความ / ผู้พิพากษา (อาวุโส)
10,000,000
300,000
นักบิน อายุงาน 7-8 ปี
10,000,000
300,000
นักบิน อายุงาน 15 ปี
20,000,000
600,000
ลูกเรือ อายุงาน 7-8 ปี
5,833,333
175,000
พนักงานสายการบิน (ระดับต้น)
3,333,333
100,000
พนักงานบริษัทชั้นนำของเกาหลี (ระดับต้น)
2,940,000
88,200
พนักงานบริษัทชั้นนำของเกาหลี (หัวหน้าแผนก)
6,666,666
200,000
พนักงานบริษัทเงินทุนชั้นนำ (ระดับกลาง/หัวหน้า)
8,166,666
245,000
พนักงานบริษัทหลักทรัพย์/ธนาคาร ชั้นนำ (ระดับกลาง/หัวหน้า)
5,500,000
165,000
พนักงานด้าน IT (บริษัท naver.com)
7,500,000
225,000
พนักงานสถานีโทรทัศน์ 5 ปี
4,750,000
142,500
พนักงานสถานีโทรทัศน์ 15 ปี
7,500,000
225,000
พนักงานค่ายเพลง YG Entertainment (ระดับบริหาร)
16,333,333
490,000
พนักงานค่ายเพลง SM Entertainment (ระดับบริหาร)
9,070,833
272,125
พนักงานค่ายเพลง JPY Entertainment (ระดับบริหาร)
5,419,000
154,470
ค่าใช้จ่ายต่อเดือนของแต่ละบุคคลซึ่งต่างอาชีพ ต่างอายุย่อมต่างกันไป ข้อมูลข้างล่างเป็นค่าใช้จ่ายพื้นฐานโดยประมาณ
ประเภทค่าใช้จ่ายต่อเดือน
คนโสด
แบบประหยัด (บาท)
คนโสด / ครอบครัว 2-4 คน
แบบประหยัด (บาท)
ค่าเช่าบ้าน (ถ้ามี)
9,000
30,000
ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแก๊ส
3,000
13,500
อาหาร
12,000
30,000
ค่าเดินทาง
1,500
6,000
อื่นๆ เช่นค่าโทรศัพท์/สังสรรค์/ซื้อของอื่นๆ
3,000
30,000
รวม
22,500
109,500
ค่าเรียนเพิ่มเติมกรณีมีลูก 1 – 2 คน
9,000
60,000


เมื่อเปรียบเทียบรายได้กับค่าใช่จ่ายจะเห็นว่าแม้ใช้อย่างประหยัดก็อาจจะไม่เหลือเงินเก็บมากมายโดยเฉพาะผู้ที่มีเงินเดือนไม่มากรวมทั้งครอบครัวที่ฝ่ายชายทำงานคนเดียวต้อง (ผู้หญิงเกาหลีเมื่อแต่งงาน มีลูกแล้วส่วนใหญ่จะออกจากงานมาดูแลครอบครัว) อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าค่าใช้จ่ายในตารางเป็นเพียงค่าใช้จ่ายพื้นฐาน หากมีการออกไปเที่ยวสังสรรค์หรือทานอาหารนอกบ้านบ่อยๆ รวมทั้งใช้จ่ายนอกเหนืออื่นๆเช่น การท่องเที่ยวต่างประเทศ ซื้อเครื่องไฟฟ้า ของสะสม หรือสินค้าฟุ่มเฟือยอื่นๆยิ่งเพิ่มรายจ่ายมากขึ้นไปอีก 
จากประสบการณ์ตัวเองในวันหยุด ค่าใช้จ่ายสำหรับสองคนในการออกไปดูหนัง ทานอาหารและของหวาน (สมมติร้านอาหารประเภทเดียวกับร้าน Greyhound ที่เมืองไทย) ดื่มกาแฟระหว่างรอดูหนัง ซื้อป๊อบคอร์น ขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มเข้าไปดูหนัง เหมือนจะไม่ได้ฟุ่มเฟือยอะไรแต่ค่าใช้จ่ายอาจตกอยู่ที่ราวๆ 100,000 150,000 วอน หรือประมาณ 3,000 4,500 บาท !! สรุปแล้วรายได้เหมือนจะสูงกว่าไทยแต่ค่าใช้จ่ายก็สูงเป็นเงาตามตัว
แหล่งข้อมูล  http://www.korean4life.com/?p=2866



















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น